ส่องแผน รฟท.เพิ่มตู้สินค้า 946 คัน ดันไทยขึ้นฮับโลจิสติกส์ทางราง

เปิดแผนการรถไฟฯ ทยอยเพิ่มรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า 946 คัน หลัง ครม.ไฟเขียว 2,459 ล้านบาท เร่งจัดหารับดีมานด์การขนส่งทางรางเติบโต
KEY
POINTS
- เปิดแผนการรถไฟฯ ทยอยเพิ่มรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า 946 คัน หลัง ครม.ไฟเขียว 2,459 ล้านบาท เร่งจัดหารับดีมานด์การขนส่งทางรางเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งได้มากกว่า 9 ล้านตันต่อปี
- ตั้งเป้าล็อตแรกจำนวน 154 คัน คาดเริ่มทดลองวิ่งได้ในเดือน ต.ค. 2570 นำไปใช้ในเส้นทางไอซีดีลาดกระบัง - แหลมฉบัง ม.ค. 2571
เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) จำนวน 946 คัน วงเงินลงทุน 2,459.97 ล้านบาท โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบขึ้นภายในประเทศ เพื่อนำมาทดแทนแคร่บรรทุกสินค้าเก่าที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน และเพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า การจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพของระบบรางในการรองรับสินค้าน้ำหนักมาก อาทิ เกลืออุตสาหกรรม ปุ๋ย เม็ดพลาสติก และน้ำตาล ที่มีแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรถโบกี้รุ่นใหม่นี้จะเป็นขนาดพิกัดบรรทุก 62 ตัน รองรับได้ 2 ตู้ต่อคัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาคอุตสาหกรรมให้ความนิยมอย่างมาก
ทั้งนี้ปัจจุบัน การรถไฟฯ มีรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าใช้งานอยู่รวมทั้งสิ้น 1,062 คัน แบ่งเป็น ขนาดพิกัดบรรทุก 39 ตัน จำนวน 146 คัน ขนาดพิกัดบรรทุก 45–50 ตัน จำนวน 608 คัน และขนาดพิกัดบรรทุก 62 ตัน จำนวน 308 คัน ซึ่งการจัดหารถเพิ่มเติมอีก 946 คัน จะช่วยขยายตลาดขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากปัจจุบัน การรถไฟฯ มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางเฉลี่ยอยู่ที่ 13 ล้านตันต่อปี หากจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าได้ตามเป้าหมาย จะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งได้มากกว่า 9 ล้านตันต่อปี
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ในฐานะศูนย์กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในด้านการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากแหล่งผลิตไปยังศูนย์ขนส่งทางราง เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง (SRTO: Single Rail Transfer Operator) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลก
อย่างไรก็ดี โครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าในครั้งนี้ ไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่ราง (Shift Mode) เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายวีริศ กล่าวด้วยว่า ภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจาก ครม. แล้ว การรถไฟฯ จะเร่งดำเนินการจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.พ. 2569 และเปิดประกวดราคาได้ภายในเดือน พ.ค. 2569 จากนั้นจะเร่งพิจารณาผลการประกวดราคา และลงนามในสัญญาให้ได้ภายในเดือน ก.ย. 2569 โดยตั้งเป้าเริ่มประกอบรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าล็อตแรกได้ภายในเดือน ก.ค. 2570
สำหรับโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าในครั้งนี้ จะดำเนินการในรูปแบบการส่งมอบเป็น 5 ล็อต ประกอบด้วย
- ล็อต 1 จำนวน 154 คัน คาดว่าจะเริ่มทดลองวิ่งได้ในเดือน ต.ค. 2570 มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางไอซีดีลาดกระบัง - แหลมฉบัง ช่วงเดือน ม.ค. 2571
- ล็อต 2 จำนวน 165 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหนองคาย - แหลมฉบัง 132 คัน และอรัญประเทศ - แหลมฉบัง 33 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือน ม.ค. 2572
- ล็อต 3 จำนวน 198 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางเชียงของ - แหลมฉบัง 99 คัน และนครพนม - แหลมฉบัง 99 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือน ม.ค. 2573
- ล็อต 4 จำนวน 264 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหนองคาย - แหลมฉบัง คาดว่าเป็นช่วงเดือน ม.ค. 2574
- ล็อต 5 จำนวน 165 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหาดใหญ่ - แหลมฉบัง 99 คัน และอุบลราชธานี - แหลมฉบัง 66 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือน ม.ค. 2575







