รัฐบาลอัด 'แพ็กเกจเยียวยา' ผลกระทบภาษีทรัมป์ คลังจ่อชงลดภาษี

รัฐบาลอัด 'แพ็กเกจเยียวยา' ผลกระทบภาษีทรัมป์ คลังจ่อชงลดภาษี

“รัฐบาล” จ่อคลอดแพ็กเกจเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ทั้งมาตรการการเงิน ดึงแบงก์พาณิชย์ร่วมปล่อยซอฟต์โลน พิจารณาลดภาษีเงินได้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

KEY

POINTS

  • “รัฐบาล” จ่อคลอดแพ็กเกจเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ทั้งมาตรการการเงิน ดึงแบงก์พาณิชย์ร่วมปล่อยซอฟต์โลนช่วยแบงก์รัฐ
  • พิจารณาลดภาษีเงินได้ พร้อมปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
  • เล็งโยกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจใช้หนี้ ม.28 แบงก์รัฐ เปิดเพดานปล่อยกู้เพิ่มเยียวยาเกษตรรายย่อย - SMEs
  • “พิชัย” หวังพลิกโอกาสธุรกิจปรับตัวเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

ภายหลังจากที่ทีมไทยแลนด์สามารถเจรจาภาษีกับสหรัฐ จนได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่าประเทศไทยจะถูกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่อัตรา 19% ลดลงจากเดิมที่ต้องจ่ายในอัตรา 36% โดยมีผลวันที่ 7 ส.ค.2568 โดยมีเงื่อนไขสำคัญในการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตรา 0% นับหมื่นรายการ 

รวมถึงมีการเปิดตลาดให้นำเข้าสินค้าเกษตร รวมทั้งการเพิ่มโควตาการนำเข้าสินค้าเกษตรบางชนิดที่มีความอ่อนไหวให้กับสหรัฐ ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือในรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนจะส่งลิสต์สินค้าที่ต้องแก้ไขภาษีศุลกากรให้ที่ประชุมสภาฯพิจารณาซึ่งใช้ระยะเวลาอีกนับเดือน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสรุปแนวทางการเยียวยาผลกระทบจากภาษีทรัมป์ เพื่อกลับมาหารือแนวทางที่เหมาะสมแต่ละเซกเตอร์ ซึ่งแต่ละธุรกิจได้รับผลกระทบแตกต่างกัน เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหารสำเร็จรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า 

“บางธุรกิจที่มีกำไรสูง เช่น ผู้ส่งออกเพชร พลอย อาจถูกผู้ซื้อขอให้รับภาระส่วนแบ่งต้นทุนบางส่วน เช่น การรับภาระภาษีครึ่งหนึ่ง ขณะที่บางภาคส่วนซึ่งมีการแข่งขันสูง และมีสินค้าจากหลายประเทศ อาจให้ผู้ซื้อหรือชาวอเมริกันเป็นผู้รับภาระต้นทุนส่วนใหญ่”

รัฐบาลอัด 'แพ็กเกจเยียวยา' ผลกระทบภาษีทรัมป์ คลังจ่อชงลดภาษี

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า แม้รัฐบาลประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ไม่ชัดเจน แต่รัฐบาลอยู่ระหว่างการเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกและเกษตรกร โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเป็นแพ็กเกจ ควบคู่ไปกับการจัดทำแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยแบ่งการเยียวยาผลกระทบเป็น 3 มาตรการ ดังนี้

1.มาตรการเงินอุดหนุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยดำเนินการผ่านกองทุนที่มีอยู่แล้วในการสนับสนุนเงินทุนให้ผู้ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย

กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดย ครม.อนุมัติงบประมาณเพิ่มให้กองทุน 10,000 ล้านบาท จากงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2568  ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือจะให้เงินลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรเป็นดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

กองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิต และภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากเปิดเสรีทางการค้า (กองทุน FTA) ซึ่งจะสนับสนุนเงินให้ผู้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าในการปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร โดยกระทรวงพาณิชย์กำลังจัดทำข้อเสนองบประมาณให้กองทุน FTA เพิ่มเติม

ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบัน กองทุน FTA ช่วยภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้า 35 โครงการ วงเงิน 1,208 ล้านบาท แต่การดำเนินการจากนี้อาจต้องแก้ไขระเบียบเพื่อให้สอดคล้องแนวทางการเก็บภาษีของสหรัฐ

นอกจากนี้รัฐบาลเตรียมวงเงินในการรับมือกับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐไว้ในงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ในส่วนของงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 25,000 ล้านบาท ซึ่งนำมาใช้เยียวยาผลกระทบจากภาษีสหรัฐได้ในปีงบประมาณ 2569

ซอฟต์โลนแบงก์รัฐ-แบงก์พาณิชย์ 

2.มาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเบื้องต้น 200,000 ล้านบาท นอกจากนั้นกระทรวงการคลังยังมีการประสานกับธนาคารพาณิชย์เพื่อเตรียมซอฟต์โลนเพิ่มเติมเพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐด้วย

สำหรับการใช้กลไกของ Soft Loan อาจจะอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องสต๊อกสินค้าเอาไว้ และจำเป็นต้องมีสภาพคล่องในช่วงนั้น เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้

นอกจากนี้รัฐบาลศึกษาแนวทางการทบทวนการใช้งบกลางรายการประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่เหลืออยู่ 24,000 ล้านบาท ไปชำระคืนหนี้ให้กับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) 

ทั้งนี้ จะทำให้การบริหารงบประมาณตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการคลังของรัฐในปีงบประมาณ 2569 นั้นเปิดกว้างขึ้น รวมทั้งหากรัฐบาลชำระหนี้ให้แบงก์รัฐเพื่อลดหนี้ตามมาตรา 28 เพิ่มขึ้น โดยกรณีชำระ 20,000 ล้านบาท จะเท่ากับเปิดช่องให้แบงก์รัฐปล่อยกู้ได้มากขึ้น 5 เท่าหรือ 100,000 ล้านบาท

“คลัง” จ่อลดหย่อนภาษีเงินได้

3.มาตรการด้านภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านภาษี 19% เช่น การลดหย่อนภาษี การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือการให้เครดิตภาษี โดยกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด

นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้คำแนะนำกับรัฐบาลในการใช้งบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ในส่วนที่เหลือ 24,000 ล้านบาท ควรติดตาม และประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้งบประมาณอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีกระบวนการตรวจสอบ และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนให้เป็นรูปธรรม และมีความโปร่งใส

ส่วนการพิจารณาจัดสรรวงเงินส่วนที่เหลืออาจพิจารณาให้น้ำหนักกับโครงการหรือมาตรการที่สามารถลดผลกระทบจากสงคราม

การค้า และการประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ 

รวมถึงควรสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจปรับตัวได้ระยะยาวควรเร่งดำเนินมาตรการอื่นควบคู่กันไปด้วย เช่น การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อแก้ไขปัญหาการทะลักของสินค้าต่างประเทศ (Import Flooding) การตรวจสอบมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มข้น รวมถึงการดำเนินกระบวนการไต่สวนข้อพิพาททางการค้ากับต่างประเทศจากสินค้าต่างประเทศที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทยด้วย 

รัฐบาลหวังพลิกโอกาสธุรกิจปรับตัว

นายพิชัย กล่าวว่า ขณะที่กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ ครม.อนุมัติงบประมาณให้ 10,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างพิจารณาจะช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการที่ไม่ได้ขอสิทธิประโยชน์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้หรือไม่ ซึ่งต้องมาขยายขอบเขตการทำงานของกองทุน

นายพิชัย กล่าวว่า ในระยะยาวจะต้องเปลี่ยนผ่านจากแพลตฟอร์มการผลิตแบบเดิมไปสู่แพลตฟอร์มที่ทันสมัยขึ้น แม้มาตรการภาษีของ BOI จะนำมาใช้โดยตรงไม่ได้ แต่รัฐบาลอาจใช้เงินเพื่อสนับสนุนแต่ละภาคส่วน และอุตสาหกรรมที่เข้ามาได้รับผลกระทบ การพิจารณาจะดำเนินการเป็นรายกรณีไป ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด เน้นในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายจะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ และกลุ่มที่รัฐบาลต้องการให้แข่งขันได้ตามปกติ ซึ่งจะต้องทำให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ มิฉะนั้น จะมีปัญหาในเรื่องต้นทุนที่สูง ไม่สามารถแข่งขันด้านการส่งออกได้

เอกชนต้องการความช่วยเหลือต่างกัน

นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่รัฐบาลเตรียมออกได้หารือกับทางผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง โดยดูเป็นรายกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มมีความต้องการแตกต่างกัน

สำหรับกลุ่มผู้ส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับ โดยมีการหารือภาระภาษีนำเข้าของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงแรกผู้นำเข้าอาจรับภาระจากภาษี 40% ของมูลค่าภาษีนำเข้าทั้งหมด และอีก 40% ขอให้รัฐช่วยแบ่งจ่าย ส่วนอีก 20% อาจส่งต่อให้ผู้บริโภคสหรัฐหรือการขึ้นราคาสินค้ากับผู้นำเข้าสหรัฐ

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับอาจขอเวลาปรับตัว 1-2 ปี โดยอาจขอเป็นมาตรการทางภาษี เช่น การขอลดหย่อนภาษี แทนการขอ Soft Loan และในช่วงระหว่างนี้รัฐก็หากลไกอื่นในการเก็บภาษีคืนควบคู่กัน

นอกจากนี้ กลไกกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ ที่ผ่านมาได้รับการอนุมัติวงเงินลงไป 10,000 ล้านบาท เป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนภาคการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านภาษีครั้งนี้ 

ส่วนแนวทางการเจรจาข้อตกลงร่วมการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ (Joint Agreement) ซึ่งขณะนี้ทีมไทยแลนด์ต้องไปเจรจารายละเอียดในรายสินค้ากว่า 10,000 รายการที่จะต้องเปิดตลาดกับสหรัฐ 

รวมถึงสินค้าเกษตรบางรายการจะมีกลไกในการดูแลเกษตรกรในประเทศก่อน เช่น ข้าวโพด จะรับซื้อผลผลิตในประเทศทั้งหมดก่อนที่จะพิจารณานำเข้า พร้อมประกาศราคารับซื้อผลิตในราคานำตลาด เพื่อการันตีว่าผลผลิตที่มีในประเทศจะต้องได้รับการรับซื้อทั้งหมด

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์