ลดต้นทุนเพื่อสู้ภาษีทรัมป์ | ผู้นำยุคสุดท้าย

ลดต้นทุนเพื่อสู้ภาษีทรัมป์ | ผู้นำยุคสุดท้าย

ประธานาธิบดี “ทรัมป์” ได้ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ล่าสุด 1 ส.ค.2568 เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าสหรัฐอเมริกาจากประเทศเหล่านี้ 19% เท่ากัน คือ ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และกัมพูชา

“ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม” จึงจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด และเติบโตต่อไปได้ในอนาคต

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อพูดถึงความอยู่รอด ผู้ประกอบการและผู้คนส่วนใหญ่มักคิดถึงแต่ “รายได้” หรือ “กำไร” ด้วยมาตรการทางด้าน “การตลาด” คือ เน้นที่ “การเพิ่มยอดขาย” เป็นหลัก ทั้งๆ ที่ยังมีมาตรการอีกมากมายเพื่อต่อสู้กับภาษีทรัมป์ พร้อมๆ กับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรได้ด้วย อาทิ การเพิ่มผลผลิต (การเพิ่มผลิตภาพ) การลดต้นทุนการผลิต การพัฒนาคุณภาพ การลดของเสีย การพัฒนาบุคลากร และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ในความเป็นจริงแล้ว “การเพิ่มยอดขาย” มักจะให้ผลลัพธ์คืนกับองค์กรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนกับ “การลดต้นทุน (การผลิต)” คือ ถ้าลดต้นทุนได้ 10 บาท องค์กรจะได้เต็ม 10 บาทเลย แต่ถ้าเพิ่มยอดขายได้ 10 บาท องค์กรจะได้ไม่เต็ม 10 บาท (เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการเพิ่มยอดขายเพิ่มขึ้นด้วย)

“การลดต้นทุน” มีความสำคัญมากในปัจจุบันและเป็นตัวชี้วัด “กึ๋น” ของผู้บริหาร เพราะขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารจัดการของผู้บริหารจริงๆ หลักการง่ายๆ ของการลดต้นทุน ก็คือ ถ้าต้นทุนลดลง (โดยไม่ลดคุณภาพ) ในขณะที่ราคาขายเท่าเดิม เราก็จะมีกำไรเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีโอกาสที่กิจการจะอยู่รอดและเติบโตต่อไปในอนาคต ยิ่งตลาดมีคู่แข่งมาก การลดต้นทุนเพื่อให้ตั้งราคาขายที่แข่งขันได้ ยิ่งมีความจำเป็นมากขึ้น

ในยุคที่ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างทุกวันนี้ ทั้งจากราคาวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าพลังงาน และค่าขนส่ง การบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนในโรงงานอุตสาหกรรมจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอุตสาหกรรม

บทความวันนี้ ผมขอพูดถึงภาพรวมของ “วิธีการลดต้นทุนการผลิต” ที่โรงงานส่วนใหญ่นิยมทำกัน อันได้แก่

(1) การบริหารจัดการวัตถุดิบและสินค้าคงคลัง ได้แก่ การใช้ระบบทันเวลาพอดีของโตโยต้า (Just-In-Time : JIT) การลดปริมาณสินค้าคงคลังและลดต้นทุนการจัดเก็บ การตรวจสอบและหารืออย่างใกล้ชิดกับ Supplier อย่างสม่ำเสมอ (เพื่อเจรจาต่อรองราคาและควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบ) การใช้ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) หรือ ใช้ซอฟต์แวร์สำหรับการวางแผนวัสดุ เพื่อควบคุมและวางแผนการใช้วัตถุดิบอย่างแม่นยำ

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ได้แก่ การใช้หลักการของ “การผลิตแบบลีน” เพื่อกำจัดความสูญเปล่า เช่น การรอคอย การเคลื่อนไหวเกินจำเป็น หรือการผลิตเกินความต้องการ เป็นต้น การปรับปรุงแผนผังการผลิตของโรงงานเพื่อทำให้กระบวนการผลิตไหลลื่นไม่ติดขัด และการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ หรือ ระบบอินเทอร์เน็ต (IoT) เพื่อเพิ่มความถูกต้องแม่นยำและลดข้อผิดพลาด

(3) การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ได้แก่ การติดตั้งระบบเฝ้าระวังเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงาน การเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรอุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ รวมทั้งการอบรมพนักงานให้ตระหนักถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด

(4) การบำรุงรักษาเครื่องจักรเชิงป้องกัน ได้แก่ การวางแผนการบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ (เพื่อป้องกันการหยุดทำงานฉุกเฉินและลดการซ่อมใหญ่) การใช้เซนเซอร์ตรวจวัดความสั่นสะเทือน หรือวัดอุณหภูมิ (เพื่อตรวจจับสัญญาณความเสียหายล่วงหน้า) และการซ่อมบำรุงแบบคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้มาก

(5) การพัฒนาทักษะและแรงงาน ได้แก่ การอบรมพนักงานให้สามารถใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างระบบแรงจูงใจ (เช่น ค่าตอบแทนตามผลงาน) การประเมินผลงานด้วย Objectives and Key Results (OKRs) การให้พนักงานทำข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการทำงาน และการส่งเสริมวัฒนธรรมการลดต้นทุนร่วมกันทั้งองค์กร

(6) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบ AI ได้แก่ การนำระบบ AI หรือ Machine Learning มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการผลิต (เพื่อปรับแผนงานแบบเรียลไทม์) การใช้หุ่นยนต์แทนแรงงานในกระบวนการผลิตที่ซ้ำซากหรือเสี่ยงอันตราย การประยุกต์จำลองกระบวนการผลิตและหาจุดที่สามารถลดต้นทุนได้

การลดต้นทุนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพียงการลดรายจ่ายในแต่ละจุดแต่คือการปรับปรุงอย่าง “บูรณาการ” ทั้งองค์กร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ลดคุณภาพหรือลดประสิทธิผลของงาน ดังนั้น การบริหารจัดการที่ดี ควรจะครอบคลุมทั้งระบบแบบครบวงจร (ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำถึงปลายน้ำ) ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งด้านเทคโนโลยี บุคลากร วัตถุดิบ พลังงาน ผลผลิต กระบวนการผลิต ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวให้แก่องค์กร

ที่สำคัญก็คือ การบริหารจัดการที่มุ่งเน้นในเรื่องของ “การลดต้นทุน” มักจะต้องผ่านกระบวนการคิด พิจารณาและการวิเคราะห์เจาะลึกในขั้นตอนการผลิตหรือการทำงานอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง จึงทำให้องค์กรสามารถเพิ่มผลิตภาพ (Productivity improvement) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต่างๆ ไปในตัวด้วย

แต่ที่น่าแปลกใจในวันนี้ ก็คือ ผู้ผลิตและผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อย มักเน้นแต่การเพิ่มรายได้ด้วยการเพิ่มยอดขายมากกว่าการหันมาลดต้นทุนการผลิตด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ซึ่งเราสามารถควบคุมดูแลและบริหารจัดการเป็นการภายในได้มากกว่าการเพิ่มยอดขาย

ว่าไปแล้ว การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทำได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และไม่ใช่มีเพียงเพิ่ม “การลดต้นทุน” หรือ “การเพิ่มยอดขาย” เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องขององค์กร (Micro) แต่ยังต้องอาศัยมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมจากภาครัฐราชการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องจริงจังด้วย (Macro) ทุกวันนี้ ผมเชื่อว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมในบ้านเรา “ทำได้” ครับผม !