ทางรอดโคเนื้อ - โคนมไทย ในยุคตลาดเปลี่ยนแปลง

ทางรอดโคเนื้อ - โคนมไทย ในยุคตลาดเปลี่ยนแปลง

อุตสาหกรรมโคเนื้อและโคนมมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก มีเกษตรกรกว่า 2 ล้านครัวเรือนพึ่งพารายได้จากการเลี้ยงโคทั้งรูปแบบโคเนื้อมีชีวิต เนื้อโคและน้ำนมดิบ

อุตสาหกรรมนี้ยังเชื่อมโยงกับห่วงโซ่เศรษฐกิจอื่นตั้งแต่ภาคเกษตร อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป การขนส่ง ไปจนถึงตลาดในประเทศและส่งออก

ท่ามกลางความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก เทคโนโลยี และพฤติกรรมการบริโภค อุตสาหกรรมโคเนื้อ และโคนมของไทย จึงไม่ควรถูกมองข้าม แต่ควรถูกวางบทบาทให้เป็นหนึ่งในฟันเฟืองของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

แม้ประเทศไทยจะมีประชากรโคเนื้อกว่า 9.60 ล้านตัว (กรมปศุสัตว์ มิ.ย.68) ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ แต่ทว่าโครงสร้างการเลี้ยงโคเนื้อในประเทศยังคงเป็นฟาร์มรายย่อยขนาดเล็ก (1-20 ตัว) และกว่า 95% ของโคเนื้อทั้งหมดเป็นโคพื้นเมืองหรือโคลูกผสม ขณะที่โคขุนและโคพันธุ์แท้มีสัดส่วนเพียง 3% และ 2% ตามลำดับ ทำให้การพัฒนาเข้าสู่ระดับอุตสาหกรรมยังมีข้อจำกัด

ในปี 2567 ไทยสามารถผลิตเนื้อโคได้ประมาณ 0.22 ล้านตันน้ำหนักซาก แต่มีความต้องการบริโภคประมาณ 0.26 ล้านตันน้ำหนักซากจึงไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภคภายในประเทศ ทำให้ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าโคเนื้อและเนื้อโคจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเนื้อพรีเมียม เหตุนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ไทยจำเป็นต้องยกระดับคุณภาพมาตรฐาน ทั้งการพัฒนาพันธุ์ ระบบการเลี้ยง และการตลาด เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

สำรวจจุดแข็ง-จุดอ่อน อุตสาหกรรมโคเนื้อไทย

อุตสาหกรรมโคเนื้อไทยมีรากฐานที่มั่นคงจากสนับสนุนของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา มีการพัฒนาพันธุ์ที่เหมาะกับภูมิอากาศ ทนโรค และให้เนื้อคุณภาพดี มีห่วงโซ่อุปทานครบทุกขั้นตอนตั้งแต่การเลี้ยง การขุน การชำแหละ และการแปรรูป มีตลาดภายในครอบคลุมตลาดทุกระดับ และยังมีศักยภาพในการส่งออกโคมีชีวิต โดยเฉพาะไปยังประเทศอาเซียน จีน และตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมยังคงประสบปัญหาหลายประการ เช่น โครงสร้างการผลิตที่กระจายตัวและพึ่งเกษตรกรรายย่อย ต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูง ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และความผันผวนของราคาจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากโรคระบาดในสัตว์ เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) และลัมปิ สกิน (LSD) ที่ทำให้ไทยยังไม่ได้รับรองสถานะปลอดโรคจากองค์การอนามัยสัตว์โลก (WOAH) ส่งผลให้ขยายตลาดส่งออกได้จำกัด 

รวมถึงปัญหาการลักลอบนำเข้าโคเนื้อและเนื้อเถื่อน ขณะที่เนื้อโคพรีเมียมของไทยก็ยังต้องแข่งขันกับเนื้อนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีต้นทุนต่ำและคุณภาพเนื้อดีอย่างออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และบราซิล

แล้วจะยกระดับอุตสาหกรรม “โคเนื้อไทย”ได้อย่างไร? 

การพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อไทย ควรดำเนินการดังนี้ 1.พัฒนาระบบรหัสประจำตัวโค (National Cattle ID) เพื่อใช้ในการบริหารจัดการ ตรวจสอบย้อนกลับ และวางแผนการผลิตและการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.เร่งพัฒนา “โคพันธุ์ดี”และเทคโนโลยีการเลี้ยง เพื่อลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 3.ส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง เข้าถึงแหล่งทุน และถ่ายทอดองค์ความรู้ 

4.พัฒนาตลาดกลางออนไลน์ ตลาดประมูลโคมีชีวิต และระบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Contract Farming) เพื่อสร้างกลไกรองรับความผันผวนของราคา 5.สร้างแบรนด์ “โคไทย” ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดพรีเมียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ และ 6. เข้มงวดการควบคุมการลักลอบนำเข้าโคเนื้อและเนื้อเถื่อน พร้อมผลักดันไทยให้ได้รับสถานะ “ปลอดโรค” เพื่อเปิดตลาดส่งออกให้กว้างขึ้น

โคนมไทย: เสาหลักของอุตสาหกรรมนมไทยในตลาดภูมิภาค

ขณะที่สถานการณ์โคนมไทยนั้น มีโคนมกว่า 5.5 แสนตัว ผลิตน้ำนมดิบได้กว่า 1.02 ล้านตันต่อปี หรือเฉลี่ยวันละกว่า 2,818 ตัน จากเกษตรกรผู้เลี้ยงราว 15,655 คน ส่วนใหญ่เป็นรายย่อยอยู่ในระบบสหกรณ์โคนม ซึ่งช่วยให้เกิดการบริหารจัดการแบบมีประสิทธิภาพ น้ำนมดิบส่วนใหญ่ถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนและนมพาณิชย์ขายในประเทศ และบางส่วนส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

เปิดจุดแข็ง-จุดอ่อนของอุตสาหกรรมโคนมไทย

กว่า 65 ปีที่อุตสาหกรรมโคนมไทยพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการปรับปรุงพันธุ์ และเทคโนโลยีอาหารสัตว์ ทำให้น้ำนมไทยมี “คุณภาพดี ราคาแข่งขันได้” เกษตรกรมีความรู้ความสามารถ และมีการรวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์ที่เข้มแข็ง ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตและการตลาด นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์นมยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ ร้านกาแฟเบเกอรี่ ที่กำลังเฟื่องฟู และตลาดผลิตภัณฑ์นมไทยในประเทศเพื่อนบ้านก็ยังเติบโตได้อีกมาก 

แต่กระนั้นอุตสาหกรรมโคนมไทยยังมีความท้าทายที่สำคัญ คือ ต้นทุนการผลิตที่สูงจากค่าอาหารสัตว์ อุปสงค์ในประเทศที่ยังพึ่งพาโครงการนมโรงเรียน เป็นหลัก การแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำและคุณภาพสูงกว่าจากประเทศผู้ผลิตที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าและต้นทุนการผลิตต่ำ ในขณะเดียวกันการแปรรูปผลิตภัณฑ์นมมูลค่าสูงยังจำกัด เช่น ชีส เนยและครีม

ดังนั้นเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมโคนมไทย ควรดำเนินการดังนี้ 1.สนับสนุนการรวมกลุ่มเกษตรกร เพื่อประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต 2.พัฒนาเกษตรกรและผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันและรับมือกับความผันผวนของต้นทุน 3.ยกระดับระบบข้อมูลโคนมให้ทันสมัย ครอบคลุมทั้งจำนวนสัตว์ ผลผลิต และคุณภาพน้ำนม เพื่อการบริหารจัดการที่แม่นยำ 4.ส่งเสริมธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ร้านกาแฟ เบเกอรี่และอุตสาหกรรมอาหารที่ใช้นมเป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อเพิ่มอุปสงค์ในประเทศ 5.ขยายโครงการนมโรงเรียนให้ครอบคลุมประชากรกลุ่มอื่น เช่น ผู้สูงอายุ และผู้มีรายได้น้อย เพื่อยกระดับสุขภาพประชาชนควบคู่กับการเพิ่มอุปสงค์ และ 6.ผลักดันการเปิดเสรีการค้าในภูมิภาคอาเซียน เพื่อขยายตลาดส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมไทย

การพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อและโคนมของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและเกษตรกร ผ่านการพัฒนาคุณภาพ การลงทุนในเทคโนโลยี การสร้างแบรนด์และการเปิดตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมอาหารโลกได้อย่างมั่นคง

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการศึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งทางการค้าสินค้าปศุสัตว์ไทย (โคเนื้อและโคนม)" ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์