ไทยรับเงื่อนไขสหรัฐ เข้มสวมสิทธิ ใช้เกณฑ์ RCV ทะลุ 50% สกัดสินค้าจีน

“ไทย-สหรัฐ” เตรียมออกแถลงการณ์ร่วมอัตราภาษี 19% ดันข้อเสนอเข้ารัฐสภา “คลัง” เตรียมแก้กฎหมายอัตราภาษีนำเข้า เข้มกำกับดูแลสินค้าสวมแหล่งกำเนิดสินค้า เผยเพิ่มเกณฑ์ RVC ใช้วัตถุดิบในภูมิภาคถึง 50% สร้างความมั่นใจให้สหรัฐ 2 ฝ่ายต้องเจรจาต่อ เพิ่มเชื่อมั่นป้องกันสินค้าจีนสวมแหล่งกำเนิด
KEY
POINTS
- ไทยยอมรับเงื่อนไขของสหรัฐ เพิ่มความเข้มงวดเพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า
- เสนอให้ปรับเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบในภูมิภาค (Regional Value Content - RVC) ให้สูงขึ้นเป็นประมาณ 50% จากเกณฑ์ปกติที่ 40% เพื่อเป็นหลักประกันว่าสินค้ามีแหล่งกำเนิดในไทยจริง
- กรมศุลกากรจะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้า โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเฝ้าระวังที่สหรัฐ กังวล เช่น โซลาร์เซลล์
คณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษวันที่ 1 ส.ค.2568 รับทราบการเจรจาภาษีระหว่างไทย-สหรัฐ ภายหลังจากที่ทีมไทยแลนด์เจรจาปิดดีลภาษีตอบโต้ที่สหรัฐเรียกเก็บจากไทยอัตรา 19% โดยภายหลังจากนี้ต้องเสนอรัฐสภา และเข้าสู่ขั้นตอนการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐที่ไทยเปิดสินค้านับหมื่นรายการให้สหรัฐ
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้รอสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ (USTR) หรือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี จะกำหนดประกาศแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับสหรัฐ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของ 2 ประเทศที่จะเพิ่มการค้า และลดอุปสรรคระหว่างกันอย่างเป็นทางการเหมือนกับประเทศอื่น
ทั้งนี้ หลังจากออกถ้อยแถลงการณ์แล้วต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน ซึ่งสหรัฐจะหารือกับ 20 ประเทศรวมถึงไทย คาดว่า 3-12 เดือน โดยการส่งออกไปสหรัฐยังมีต่อเนื่อง ซึ่งการที่ไทยถูกเก็บภาษีนำเข้า 19% แทนอัตรา 36% หรือลดได้ 17% ทำให้ประหยัดได้ถึง 3 แสนล้านบาท
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หลังจากนี้รอสำนักงาน USTR ประกาศความตกลงอย่างเป็นทางการในอีกไม่นาน จากนั้นต้องนำเข้าการพิจารณาของรัฐสภาก่อนลงนามข้อตกลงระหว่างไทยกับสหรัฐ
ทั้งนี้ เมื่อผ่านรัฐสภาแล้วไทยต้องดำเนินกระบวนการทางกฎหมายภายในประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางการค้าระหว่างประเทศ และเจรจาทางเทคนิคในรายละเอียด โดยหากแก้กฎระเบียบ และกฎหมายไทยต้องผ่านความเห็นชอบ ครม.และบางส่วนต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
นอกจากนี้ ประเด็นที่จะต้องมีการเจรจาต่อ และไทยต้องผลักดันหลายประเด็นสำคัญ เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการคำนวณสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้า หรือ Regional Value Content (RVC) เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยประโยชน์สูงสุด และปรับตัวได้โดยไม่เกิดผลกระทบที่รุนแรง
“กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการอย่างเข้มข้น ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรการของสหรัฐ และการสนับสนุนผู้ประกอบการในการปรับตัว นอกจากนี้ยังเดินหน้าหาตลาดใหม่เพื่อสร้างโอกาสการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยไม่ละทิ้งตลาดหลักอย่างสหรัฐ”
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ไทยตกลงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐที่ 19% ถือว่าไทยพ้นวิกฤติภาษีทรัมป์ซึ่งเป็นวิกฤติที่ไม่ใช่ไทยเผชิญประเทศเดียวแต่เป็นวิกฤติของหลายประเทศซึ่งไทยได้ข้อยุติสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการดำเนินของภาคธุรกิจ
“หน้าที่ของรัฐบาลยังไม่จบแม้จะผ่านส่วนที่เป็นวิกฤติไปแล้วโดยได้คำตอบที่ชัดเจน และคำตอบนี้ถือว่าไทยทำการค้าเปิดตลาดได้กว้างขึ้น และได้อัตราภาษีใกล้เคียงกับคู่แข่งจึงไม่เสียเปรียบซึ่งอาจได้เปรียบบางประเทศแม้จะนิดหน่อย”
จ่อกำหนดโควตานำเข้าสินค้าเพิ่ม
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อรัฐสภาเห็นชอบรายละเอียดการเจรจาภาษีกับสหรัฐตามที่ทีมไทยแลนด์ตกลงกับสหรัฐในเบื้องต้นแล้วรัฐบาลจะต้องทำงานในส่วนนี้ต่อไป ทั้งในเรื่องของอัตราภาษีศุลกากร และกำหนดโควตารายสินค้าที่จะเปิดให้สหรัฐนำเข้า โดยเฉพาะในส่วนโควตาสินค้าเกษตรที่อาจจะกระทบกับเกษตรกรในประเทศ เช่น ข้าวโพด เนื้อสุกร
ทั้งนี้ ต้องมีการกำหนดโควตาให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐกระทบกับเกษตรกรในประเทศ ซึ่งต้องมีขั้นตอนการทำงานจากนี้อีกหลายเดือน
‘คลัง’ ตรวจเข้มสินค้าสวมสิทธิ
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สั่งการกรมศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิจากประเทศอื่นที่นำเข้ามา และส่งออก เพื่อให้ไทย และสหรัฐบรรลุข้อตกลงการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) หลังจากไทย และสหรัฐบรรลุข้อตกลงด้านภาษีนำเข้า 19%
ทั้งนี้ ส่วนอัตราภาษีจะเสนอรัฐสภาอีกครั้งหลัง ครม.วันที่ 1 ส.ค.2568 เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐ โดยกระบวรการในรัฐสภาจะไม่มีปัญหาใดๆ
“การสวมสิทธิเป็นการกระทำผิดที่เราต้องเข้มงวดอยู่แล้ว ซึ่งในครั้งนี้ก็ต้องมีการเข้มงวดให้มากยิ่งขึ้น”
ส่วนข้อตกลงภาษีนำเข้าสหรัฐจะมีผลกระทบต่อรายได้หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไม่มองมิติเดียวเพราะข้อตกลงภาษีจะช่วยเพิ่มปริมาณการค้า โดยเฉพาะกับสหรัฐ ไม่ใช่แค่ไทยจะเสียเปรียบเรื่องภาษีอย่างเดียว
เพิ่มเกณฑ์ RVC 50% คุมเข้มสินค้านำเข้า
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากนี้ไทยจะต้องมีการหารือกับสหรัฐในเรื่องของการกำหนดสัดส่วนมูลค่าการผลิตในภูมิภาค หรือ RVC อีกครั้ง โดยคาดว่าจะต้องมีสัดส่วนประมาณ 50% ซึ่งสัดส่วนนี้เป็นการรวมกับประเทศที่เป็นพันธมิตรของไทยโดยไม่รวมจีนเนื่องจากยังไม่บรรลุเรื่องข้อตกลงทางภาษีกับสหรัฐ
นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า การกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) ในการเจรจาการค้ามักใช้เกณฑ์ไม่ต่ำกว่า 40% ที่ใช้เป็นการทั่วไป โดยยังรวม Regional Content หรือที่มาจากห่วงโซ่อุปทานในกลุ่มอาเซียนนับเป็น Local Content ได้ แต่เกณฑ์นี้ยืดหยุ่น และขึ้นกับการเจรจากับประเทศคู่ค้าเพื่อเป็นหลักการในการรับสิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลงการค้า
“ศุลกากร” แจงขั้นตอนกำหนดอัตราภาษี
นายธีรัชย์ กล่าวว่า ข้อตกลงการค้าที่ไทยจะลดอัตราภาษีนำเข้าให้สหรัฐ 0% ครอบคลุมสินค้าหลายรายการ โดยหลังจากนี้จะเหมือนการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งจะเสนอรายการสินค้า Final Lists ทั้งหมดเป็นแพ็กให้ ครม.อนุมัติ จากนั้นกรมศุลกากรจะออกกฎกระทรวงเพื่อลดอัตราภาษี 0% ให้ตามรายการข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ
ขณะที่ร่างสัญญาข้อตกลงการค้า (Agreement) จากการเจรจาภาษีระหว่างไทย และสหรัฐ จะเสนอรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบหลายประเด็น อาทิ การยกเว้นอากร และจะกำหนดรายละเอียด และกรอบเวลาการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับแนวทางกำกับดูแลสินค้าสวมสิทธิหรือสินค้าผ่านทาง (Transshipment) กรมศุลกากรจะสร้างความเข้มแข็งของกระบวนการมอนิเตอร์ และกำกับดูแลให้เข้มข้นขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาการกำกับดูแลไม่เข้มข้นพอ เพราะเน้นอำนวยความสะดวกเพื่อดึงการลงทุน
สหรัฐส่งลิสต์สินค้าเฝ้าระวัง
ส่วนข้อตกลงกับสหรัฐ นายธีรัชย์ กล่าวว่า สหรัฐส่งรายการสินค้าเฝ้าระวังที่สหรัฐอาจมีความเสี่ยง “การสวมสิทธิ” ผ่านกรมการค้าต่างประเทศ โดยให้ไทยเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบ ซึ่งไทยต้องมอนิเตอร์ และทำให้มั่นใจว่าสินค้ากลุ่มดังกล่าวที่ส่งออกจากไทยไปสหรัฐได้รับการผลิตหรือประกอบในไทยจริง และมีสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศตามที่ตกลง
ทั้งนี้ โซลาร์เซลล์เป็นสินค้าที่ถูกจับตา ซึ่งสหรัฐมองว่าอาจนำเข้าจากจีนมาประกอบในไทยเล็กน้อยก่อนส่งออก ซึ่งจำนวนรายการสินค้าที่สหรัฐขอให้ตรวจสอบมีมากพอสมควร
นายธีรัชย์ ระบุว่า ประเด็นแหล่งกำเนิดสินค้าเป็นข้อกังวลสำคัญของสหรัฐและไทยต้องกำหนดไทม์ไลน์ที่ชัดเจน โดยปัจจุบันยังไม่ลงนามข้อตกลงการค้า ซึ่งคาดว่ารายละเอียด และไทม์ไลน์แต่ละฝ่ายจะถูกระบุในข้อตกลงฉบับนี้
นายธีรัชย์ กล่าวว่า กรณีข้อตกลงการค้านี้เป็นเพียงเคสที่พิเศษที่ทำกับสหรัฐเท่านั้นรูปแบบความร่วมมือลักษณะนี้ไม่ควรใช้กับประเทศอื่น เพราะหากเป็นการทำ FTA กับประเทศอื่นควรยึดหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่เป็นสากล
RVC 50% ชี้ไทยจริงใจแก้สวมสิทธิ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่ไทยจะเสนอ RVC โดยจะต้องมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ และในภูมิภาคประมาณ 50% ซึ่งสูงกว่าอัตราปกติตามข้อตกลง FTA ที่ใช้อัตรา 40% สะท้อนว่าไทยแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาการสวมแหล่งกำเนิดสินค้า โดยใช้วัตถุดิบจากไทย และจากประเทศที่มีอัตราภาษีใกล้เคียงกับไทยในภูมิภาค
ทั้งนี้ ไทย และสหรัฐจะต้องเจรจากันต่อว่าจะสรุปอัตรา RVC เท่าไร รวมทั้งจะกำหนดแนวทางในการตรวจสอบอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับผ่านใบสั่งซื้อสินค้าหรือใบขนส่งสินค้า โดยในอนาคตอาจต้องใช้ระบบดิจิทัลหรือปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาช่วยตรวจสอบเพราะจะมีเอกสารจำนวนมาก
นอกจากนี้ ปัจจุบันยังไม่ทราบว่าสหรัฐจะกำหนดอัตรา RVC เท่าไร่ ซึ่งอาจอยู่ระหว่าง 50-60% และอัตราที่ไทยเสนอ 50% ค่อนข้างสูง โดยหลายฝ่ายรับทราบว่าสหรัฐต้องการป้องกันสินค้าจีนสวมสิทธิ์
สำหรับสินค้าเกษตรเป็นกลุ่มที่ไม่กังวลเพราะใช้วัตถุดิบในประเทศเกือบทั้งหมด ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมบางส่วนต้องใช้วัตถุดิบนำเข้า และสินค้ากลุ่มไฮเทคจะใช้วัตถุดิบนำเข้าสูง เช่น คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ
“RVC สัดส่วน 50% จะไหวหรือไม่ขึ้นกับแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องสอบถามความเห็นผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเข้ามูลประกอบการเจรจา เช่น กลุ่มเกษตรกร สมาคมการค้า”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







