คดีคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ในศาลอุทธรณ์

คดีคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ในศาลอุทธรณ์

ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรกและในสมัยที่สองในปัจจุบัน วางนโยบายแก้ปัญหาที่สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้า

โดยออกคำสั่งฝ่ายบริหารขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าเกือบทั่วโลกในอัตราต่างๆ จากอัตราเดิม การออกคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ได้อาศัยอำนาจตามกฎหมายที่สำคัญ 3 ฉบับ คือ

1.Trade Expansion Act of 1962 มาตราที่สำคัญคือมาตรา 232 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับขั้นตอนในการสอบสวนดำเนินการเมื่อมีกรณีสินค้าที่นำเข้าอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของสหรัฐ และเสนอผลการพิจารณาต่อประธานาธิบดี เพื่อออกคำสั่งจำกัดการนำเข้าหรือขึ้นภาษีนำเข้าสินค้านั้นก็ได้

2.The Trade Act of 1974 มาตราที่สำคัญคือมาตรา 301 ให้อำนาจประธานาธิบดีโดยสำนักงานผู้แทนทางการค้า USTR ในการสอบสวนและกำหนดมาตรการตอบโต้การค้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น ขึ้นภาษีนำเข้าได้

3.International Emergency Economic Powers Act of 1977 : IEEP เป็นกฎหมายให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเมื่อเห็นว่าจะมีภัยคุกคามที่ผิดปกติหรือรุนแรงจากต่างประเทศที่คุกคามต่อความมั่นคง เศรษฐกิจหรือผลประโยชน์ของสหรัฐ เมื่อประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติแล้ว ประธานาธิบดีมีอำนาจสั่งหยุดการทำธุรกรรมใดฯที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามนั้นได้ เช่น ห้ามการโอนเงิน การลงทุน การส่งออกนำเข้า หรือยึดอายัดทรัพย์สินของคนต่างชาติหรือรัฐบาลต่างชาติในสหรัฐได้

ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นคำสั่งที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 : IEEP

การฟ้องคดี

การออกคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ไม่ได้มีผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าเท่านั้น แต่มีผลกระทบต่อผู้บริโภคชาวอเมริกันและผู้ประกอบธุรกิจที่นำเข้าและผู้ประกอบการค้าสินค้าที่นำเข้าด้วย จึงมีผู้ประกอบการและมลรัฐที่มีผู้บริหารจากพรรคเดโมแครต ฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐและศาลท้องถิ่นว่า คำสั่งขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คดีที่มีการตัดสินแล้ว คือ

- คดีระหว่าง V.O.S. Selections, Inc. และสหรัฐ โดย V.O.S. Selections, Inc ยื่นฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ (US Court of International Trade)

- คดีระหว่าง Learning Resources และTrump โดย Learning Resources ฟ้องประธานาธิบดีทรัมป์ต่อศาล Columbia District Court. ต่อมามีการโอนคดีไปยังศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ

- คดีที่รัฐ Oregon และรัฐอื่นรวม 14 รัฐ ฟ้องประธานาธิบดีทรัมป์และพวก โดยยื่นฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ

ผลคดีในศาลการค้าระหว่างประเทศ ที่เป็นศาลชั้นต้น

ศาลการค้าระหว่างประเทศ มีคำพิพากษาคดีดังกล่าวแล้ว สรุปได้ว่า คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตาม International Emergency Economic Powers Act of 1977 เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นสำคัญคือ ตามกฎหมายดังกล่าวประธานาธิบดีต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ว่ามีภัยมีภัยคุกคามที่ผิดปกติหรือรุนแรงจากต่างประเทศที่คุกคามต่อความมั่นคง เศรษฐกิจหรือผลประโยชน์ของสหรัฐ 

ประเด็นนี้ศาลเห็นว่า การขาดดุลการค้าไม่เข้าข่ายเป็นภัยที่คุกคามผิดปกติ ตามที่ฝ่ายบริหารใช้เป็นเหตุประกาศภาวะฉุกเฉิน ประเด็นที่สองเมื่อประกาศภาวะฉุกเฉินแล้ว ฝ่ายบริหารมีอำนาจดำเนินมาตรการต่างฯตามที่กฎหมายกำหนดไว้ การขึ้นภาษีนำเข้าไม่ใช่มาตรการที่กฎหมายให้อำนาจดำเนินการได้ เป็นการทำเกินอำนาจ พิพากษาให้ฝ่ายบริหารหยุดการขึ้นและเรียกเก็บภาษีนำเข้าตามคำสั่งดังกล่าว

คดีในชั้นศาลอุทธรณ์

ฝ่ายบริหารของสหรัฐได้ยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศดังกล่าวทุกคดี ต่อศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐอเมริกา ( US Court of Appeal Federal Circuit) ที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีอุทธรณ์คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ของศาลทั่วสหรัฐ ฝ่ายบริหารของสหรัฐยื่นคำขอตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวขอทุเลาการบังคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีตามคำขอ

การพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์

การพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ของศาลอุทธรณ์สหรัฐ มีกระบวนการที่เรียกว่า Oral Arguments การโต้แย้งด้วยวาจา เป็นการให้จำเลยผู้ยื่นอุทธรณ์ เสนอเหตุผลข้อกฎหมายสนับสนุนคำอุทธรณ์ของฝ่ายตน และให้ฝ่ายโจทก์ผู้แก้อุทธรณ์ โต้แย้ง โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณามีอำนาจซักถามได้

ศาลอุทธรณ์กลางจัดให้มีการดำเนินการกระบวนการ Oral Arguments คดีดังกล่าวข้างต้นเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 โดยมีรายงานข่าวในสื่อที่สำคัญหลายสำนัก สรุปสาระสำคัญคือ

ฝ่ายจำเลย (รัฐบาลสหรัฐ) อ้างว่า กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 : IEEP ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการควบคุมกำหนดระเบียบเศรษฐกิจต่างประเทศ ซึ่งควรรวมถึงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าด้วย โดยไม่มีข้อห้ามตามกฎหมายในการเรียกเก็บภาษีนำเข้า และเห็นว่าการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศการค้ามนุษย์และการค้ายาเสพติดจากต่างประเทศ เป็นภัยคุกคามที่รุนแรงและผิดปกติจากต่างประเทศ

ฝ่ายโจทก์ (ผู้ประกอบการ 2 รายและรัฐ 12 รัฐ) โต้แย้งว่ากฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 : IEEP ไม่ได้มีบทบัญญัติให้ฝ่ายบริหารใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากทั่วโลกโดยไม่มีขอบเขตข้อจำกัด เพราะการดำเนินการเช่นนั้นต้องตราเป็นกฎหมายโดยรัฐสภา และโต้แย้งว่าการขาดดุลการค้าที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภัยคุกคามที่รุนแรงผิดปกติที่ประธานาธิบดีจะนำมาอ้างเพื่อขยายอำนาจของประธานาธิบดีอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

ข้อซักถามของผู้พิพากษา 

ผู้พิพากษา Jimmie Reyna แสดงข้อสงสัยการตีความอย่างกว้างของจำเลย ที่เห็นว่ากฎหมายให้อำนาจขึ้นภาษีนำเข้าด้วย เพราะไม่มีบทบัญญัติใดระบุถึงภาษีนำเข้าเลย และมีข้อพิจารณาว่าการตรากฎหมายของรัฐสภาฉบับนี้มีนัยมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารขึ้นภาษีนำเข้าหรือไม่ เช่นเดียวกับผู้พิพากษา Alan Lourie ก็สงสัยว่ากฎหมายดังกล่าวไม่มีคำใดที่ระบุถึงคำว่าภาษีหรือใกล้เคียงเลย

การตัดสินของศาลอุทธรณ์

บรรดาสื่อที่สนใจติดตามคดีคำสั่งขึ้นภาษีของทรัมป์ คาดว่าศาลอุทธรณ์กลาง คงจะมีคำพิพากษาภายในเดือนสิงหาคมนี้ บางสื่อเห็นว่ามีโอกาสสูงที่ศาลอุทธรณ์จะยืนตามคำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศ และในที่สุดไม่ว่าฝ่ายใดแพ้คดี ก็คงต้องอุทธรณ์ต่อศาลสูงแน่นอน โดยตั้งข้อสังเกตต่อการพิจารณาของศาลสูงว่าจะไปในทางทิศทางใด ก็จะเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญของการแบ่งแยกอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา