“เครดิตภาษี (QRTC)” เป็นการอนุญาตให้นำเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เช่น การวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง การยกระดับมาตรฐาน การลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ และความยั่งยืน ไปใช้คำนวณเป็นเครดิต ซึ่งเครดิตดังกล่าวสามารถนำไปใช้ชำระภาษีต่าง ๆ แทนเงินสด เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีส่วนเพิ่ม หรือภาษีอากรอื่นตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และหากผู้ได้รับการส่งเสริมใช้เครดิตภาษีนั้นแล้ว แต่ยังมีคงเหลือ สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้ภายใน 4 ปี ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
ซึ่งเครดิตภาษีจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม เพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจได้ทันที และยังช่วยสนับสนุนให้มีการลงทุนเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง
ออกมาตรการเสริมความแข็งแกร่งสตาร์ตอัปไทย
นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ยังเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมสตาร์ตอัปที่มีศักยภาพสูง ให้ตอบโจทย์ธุรกิจในช่วงเติบโต (Growth Stage) โดยใช้กลไกการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ภายใต้บีโอไอ แก่สตาร์ตอัปในลักษณะ Matching Fund โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสตาร์ตอัปที่ได้รับเงินร่วมลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท จากกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) หรือที่จัดตั้งโดยสถาบันการเงินในประเทศ และบีโอไอจะพิจารณาสนับสนุนในวงเงินไม่เกินกว่ามูลค่าที่่ได้รับจาก VC แต่ทั้งนี้ ไม่เกิน 20 ล้านบาท ต่อราย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและมุ่งขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศมากขึ้น
มาตรการใหม่นี้จะมุ่งเน้นสตาร์ตอัปที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรและอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ การพัฒนาเทคโนโลยี AI และเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) โดยผู้ได้รับการส่งเสริมจะต้องมีบุคคล/นิติบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 และกลุ่มผู้ก่อตั้ง (Founder) ต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 60%
“การปรับปรุง พ.ร.บ. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขั
นฯ ครั้งนี้ จะทำให้บีโอไอมีเครื่องมือใหม่
ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่
นักลงทุนทั่วโลก ในยุคที่กติกาการเก็บภาษีขั้นต่ำ
ของ OECD เข้ามามีอิทธิพลกับการตัดสิ
นใจลงทุนระหว่างประเทศของบริษั
ทยักษ์ใหญ่ โดยเครดิตภาษีหรือ QRTC จะเป็นเครื่องมือที่สอดคล้องกั
บกฎของ OECD และจะช่วยดึงดูดการลงทุนคุณภาพ โดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนในด้
านการวิจัยและพัฒนา การสร้างบุคลากรทักษะสูง และการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิ
ทธิภาพ นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมสตาร์ตอัปที่
บอร์ดอนุมัติครั้งนี้ ก็จะช่
วยเพิ่มโอกาสและสนับสนุนการเติ
บโตของ
สตาร์ตอัปไทย โดยเฉพาะในกิจการที่มีเทคโนโลยี
สูงและเป็นจุดแข็งของประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว