สิทธิพล แนะรัฐบาลเร่ง 5 มาตรการเร่งด่วน รับมือผลเจรจาภาษีทรัมป์

สิทธิพล แนะรัฐบาลเร่ง 5 มาตรการเร่งด่วน  รับมือผลเจรจาภาษีทรัมป์

สิทธิพล ชี้ดีใจได้ภาษี 19% จากสหรัฐฯ แต่เตือนต้นทุนสูง เสี่ยงถล่มสินค้านำเข้า-กระทบ SME-เกษตรกรกว่า 10 ล้านครัวเรือน ย้ำรัฐต้องเร่งออก 5 มาตรการป้องกันผลกระทบหนัก

KEY

POINTS

  • ประธานกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจสภาผู้แทนราษฎร เสนอ 5 มาตรการเร่งด่วนรัฐบาลรับมือผลกระทบจากการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ กระทบการนำเข้าที่จะกระทบผู้ประกอบการรายย่อยและภาคเกษตร
  • เรียกร้องให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME อย่างเร่งด่วนและเพียงพอ พร้อมหาตลาดยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบ
  • เตรียมมาตรการรับมือสินค้าราคาถูกที่จะทะลักเข้าประเทศ และยกระดับการป้องกันปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์ปลอมถิ่นกำเนิดอย่างจริงจัง
  • เสนอให้ปรับโครงสร้างภาคเกษตรอย่างเป็นระบบและระยะยาว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักจากการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เช่น เนื้อหมู ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.พรรคประชาชน ประธานกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าการที่ไทยโดนภาษีตอบโต้จากสหรัฐ 19% เป็นเรื่องน่ายินดี ต้องขอบคุณรัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะข้าราชการกระทรวงต่างๆ ที่ทำงานอย่างหนักในหลายเดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การได้มาซึ่ง 19% มีต้นทุนที่ประเทศต้องไปแลก โดยเฉพาะการเปิดตลาดให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ในมุมการส่งออก ตอนนี้เมื่อเราได้ 19% ความกังวลที่จะสูญเสียตลาดสหรัฐฯ ในสินค้าส่งออกสำคัญก็บรรเทาลง เพราะเมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายประเทศ ต่างได้อัตราภาษีใกล้เคียงกัน เราจึงน่ารักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯได้ ถ้าจะกระทบก็จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่เสี่ยงหดตัว

“ผลกระทบหนักจากนโยบายภาษีทรัมป์ น่าเป็นมิตินำเข้า ที่จะกระทบผู้ประกอบการไทย ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย ที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศเป็นหลัก ที่ในมุมผม เห็นว่าอันตรายและอาจส่งผลไวกว่าด้วยซ้ำ” นายสิทธิพล กล่าว

นับจากนี้ตลาดในประเทศต้องเตรียมรับมือการถล่มของสินค้านำเข้า ซึ่งจะมาจาก 2 ช่องทาง ได้แก่

1.จากการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ สินค้าจากสหรัฐจะเข้ามาในประเทศมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สินค้าเกษตร

2.ทุกประเทศที่ส่งออกไปสหรัฐฯได้น้อยลง ต้องหาตลาดใหม่ ไทยก็จะเป็นปลายทางของสินค้าเหล่านี้ด้วย ตัวอย่างเช่นสินค้าจากจีน ที่แต่เดิมเข้ามาถล่มผู้ประกอบการไทยมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ต่อจากนี้ ก็เสี่ยงจะมาหนักขึ้น

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า การเข้ามาของสินค้าเหล่านี้ เสี่ยงกระทบผู้ประกอบการไทย ธุรกิจไทยโดยเฉพาะ SME กว่า 3 ล้านกิจการ มีแรงงานเกี่ยวข้องมากกว่า 10 ล้านคน รัฐบาลจะดูแลเขาอย่างไร หรือตัวอย่างสินค้าเกษตร 3 ตัว ที่หากเราเปิดตลาดให้แก่สหรัฐฯ เช่น เนื้อหมู หากนำเข้า จะกระทบผู้เลี้ยงประมาณ 80,000 คนซึ่งกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎรเคยพูดคุยกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ ผู้แทนสมาคมให้ข้อมูลว่า หากรัฐบาลเปิดให้นำเข้าจริง ผู้เลี้ยงสุกรไทยน่าจะต้องปิดกิจการทั้งหมด หรือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หากเปิดนำเข้า จะกระทบเกษตรกร 520,000 คน หรือหากนำเข้าเชื้อเพลิงเอทานอล จะกระทบผู้ปลูกมันสำปะหลังและอ้อยประมาณ 1.2 ล้านคน

ดังนั้น ผลการเจรจาหลังจากนี้ หมายถึงความเป็นไปของชีวิตแรงงาน ชีวิตเกษตรกร รวมถึงครัวเรือนไทยที่เกี่ยวข้องมากกว่า 10 ล้านครัวเรือน ที่จะได้รับผลกระทบ ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิด รัฐบาลควรออกมาตรการเร่งด่วนอย่างน้อย 5 ข้อ เพื่อดูแลผู้ได้รับผลกระทบ

1.มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการทันทีและเพียงพอ การช่วยเหลือผู้ประกอบการ ต้องมุ่งเน้น 2 เรื่องคือ รักษาการจ้างงานในภาคธุรกิจ และต้องช่วย Transform ธุรกิจให้ได้ ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาต้องบอกว่ามีผู้ประกอบการได้รับผลกระทบไปแล้ว แต่รัฐบาลช่วยไม่ทัน มีผู้ประกอบการจำนวนมากให้ข้อมูลว่า ในช่วงที่ไม่มีความชัดเจน คำสั่งซื้อจากลูกค้าในสหรัฐฯหายไปแล้ว บางส่วนเลิกจ้างคนงาน บางส่วนไม่ได้ซื้อวัตถุดิบเข้าโรงงานแล้ว ยังไม่นับบางส่วนที่เลิกกิจการไป แม้วันนี้อัตราภาษีที่เจรจาได้อยู่ในระดับใกล้เคียงประเทศอื่น แต่ผู้ประกอบการไม่ได้พร้อมกลับมาประกอบธุรกิจทันที สิ่งนี้สะท้อนว่าที่ผ่านมารัฐบาลช่วยเหลือช้าไป

นอกจากนี้ควรจัดสรรมาตรการช่วยเหลือด้านการเงิน ที่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs เข้าถึงได้จริง ซึ่งต้องทำทันที และทำได้เเล้ว อย่ารอให้เขาวิกฤตเสียก่อน ..จะให้ดี รัฐบาลควรจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ หรือคลินิคเชิงรุก เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ อย่ารอให้ผู้ประกอบการเดินเข้ามาหา หรือรอให้มา ตอนวิกฤต ที่ต้องส่งเข้า ICU แล้ว

2. หาตลาดใหม่ อย่างมียุทธศาสตร์ รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์การส่งออกรายสินค้า สำหรับสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ได้แล้ว สินค้าไหนได้รับผลกระทบ ผลกระทบเท่าไหร่ จะผ่องถ่ายไปทางไหน ควรมีแผนและตัวชี้วัดให้ชัดเจน

นอกจากนี้ ควรทบทวน FTA ที่มี เพื่อใช้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และอัพเกรด FTA ที่มีอยู่ ให้สอดรับกับสถานการณ์ใหม่ ปัญหาใหม่ๆ

3. รับมือการเพิ่มขึ้นของสินค้าราคาต่ำทะลัก เตรียมมาตรการรับมือสินค้าไม่มีคุณภาพราคาต่ำทะลัก ที่ผ่านมาแม้สถานการณ์อาจดูเบาบางลง ส่วนหนึ่งเพราะสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ไม่ได้แปลว่า ปัญหาเหล่านี้จะไม่กลับมา  สินค้าพวกนี้ยังรอจังหวะเข้ามา และจะเข้ามามากขึ้นด้วยในสถานการณ์ปัจจุบัน

ดังนั้นรัฐบาลควรใช้มาตรการทางการค้าให้ทันสถานการณ์ เช่น AD (ตอบโต้การทุ่มตลาด) AC (ตอบโต้การหลีกเลี่ยงการทุ่มตลาด) สิ่งเหล่านี้ประเทศไทยเรายังใช้น้อยกว่าประเทศอื่น

4. ยกระดับมาตรการป้องกันสินค้าสวมสิทธิรัฐบาลต้องจริงจังกับปัญหาสินค้าสวมสิทธิ และปลอมถิ่นกำเนิด ปรับปรุงกระบวนการออกและตรวจสอบหนังสือรับรองถิ่นกำเนิด

ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญ เพราะ Transshipment หรือสินค้าสวมสิทธิ์เป็นหนึ่งเหตุผลที่รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวหาและขึ้นภาษีเรา และหากดูตัวอย่างประเทศอื่นที่เจรจาไปก่อน เช่น เวียดนาม ที่มีแนวโน้มถูกเรียกเก็บภาษี2 อัตรา สินค้าที่ผลิตในเวียดนามอัตราหนึ่ง สินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากประเทศที่สหรัฐไม่ปลื้มอีกอัตราหนึ่ง ต่างกันที่ 20 กับ 40% เราก็อาจจะโดนเหมือนกัน

โดยคำถามคือ รัฐบาลทราบหรือยัง จะตรวจอย่างไร สร้างความชัดเจนให้ประเทศคู่ค้าอย่างไร เพราะเรื่องนี้กระทบผู้ประกอบการทั้งคนที่ใช้และไม่ใช้วัตถุดิบจากประเทศที่สหรัฐไม่ปลื้ม ..หรือกระทั่งคำถามสำคัญ คือ ตอนนี้ปัญหานี้ในบ้านเรามีมากแค่ไหน มีมากอย่างที่สหรัฐฯกล่าวหาไหม รัฐบาลตรวจสอบได้หรือยัง ใครมีหน้าที่ดูแลปัญหานี้

ทั้งนี้ มีข้อมูลจาก The Economist ที่น่าสนใจ มีการประเมินว่า เฉพาะเดือนเมษายนและพฤษภาคมปีนี้ มีสินค้าที่มาจากประเทศจีน และใช้ไทยเป็นทางผ่านไปยังสหรัฐฯ มากถึง 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 65,700 ล้านบาท ..จริงไม่จริง รัฐบาลไทยต้องบอกได้ มีวิธีตรวจเรื่องนี้แล้ว เพราะถ้าจริง ก็กระทบประเทศไทย นอกจากเป็นเหตุให้สหรัฐฯขึ้นภาษี ยังเป็นการเอาเปรียบผู้ประกอบการไทยด้วย

5.ปรับโครงสร้างภาคเกษตร เป็นที่ชัดเจนว่า พี่น้องเกษตรกรจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากจากผลการเจรจา แม้รัฐบาลจะบอกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นตัวกระตุ้น ให้เราแก้ปัญหาที่มีอยู่แล้ว ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในภาคเกษตรให้ดีขึ้น คำถามคือ รัฐบาลเตรียมตัวสนับสนุนเรื่องนี้มากแค่ไหน

“ผมขอยกตัวอย่างกองทุน FTA ของกระทรวงเกษตร หรือชื่อเต็มว่า กองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยภาคเกษตรปรับตัวจากผลกระทบของ FTA กองทุนนี้มีมา 20 ปี แต่ที่ผ่านมาช่วยเกษตรกรไปได้แค่ 34 โครงการ  อยากเห็นรัฐบาลเอาจริง อย่างที่พูดว่าจะสนับสนุนเกษตรกรปรับตัว และสิ่งที่รัฐบาลควรช่วย ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่ควรช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ตลอด Supply Chain ทั้งควรเป็นโครงการช่วยเหลือ ติดตามระยะยาว ไม่ใช่โครงการระยะสั้นแบบที่ทำเป็นปกติ เพราะไม่มีทางช่วยให้เกษตรกรเข้มแข็ง หรือยืนระยะได้”

ทั้งหมดคือ 5 เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำทันที และจริงจัง แม้เราจะได้อัตราภาษีที่ 19% ที่ในมุมส่งออกอาจไม่กระทบนัก แต่ในมุมนำเข้า จะกระทบหนักแน่ๆ ต่อผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจรายเล็กรายน้อยหรือ SME  ประการสำคัญ โจทย์ที่รัฐบาลต้องคิดให้ไกลคือ เราจะปรับวางจุดยืน หรือ repositioning ประเทศไทย ผู้ประกอบการไทยด้วย