‘เอสซีจี’ ยึดฐานผลิตอาเซียน กระจายเสี่ยงตลาดสหรัฐ

SCG รับมือความท้าทายครึ่งปีหลัง “ภาษีทรัมป์” กดดันเศรษฐกิจชะลอตัวชูกลยุทธ์ ปักหมุดฐานผลิต “อาเซียน” ลุยลดต้นทุน ดันสินค้า HVA สู้ศึกการค้าโลก มอง GDP อาเซียนไม่รวมไทยปีนี้จะโตไม่ถึง 5%
KEY
POINTS
- SCG ใช้ฐานการผลิตหลากหลายในอาเซียน (เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย) เป็นจุดแข็งและความได้เปรียบในการปรับกระบวนการผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
- หากได้รับผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้น SCG จะโยกย้ายการผลิตไปใช้ฐานในเวียดนามหรืออินโดนีเซียเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ มากขึ้น ส่วนสินค้าที่ผลิตในไทยจะเน้นจำหน่ายและใช้งานในประเทศ
- นอกจากการปรับฐานการผลิตแล้ว SCG ยังเตรียมหาตลาดส่งออกใหม่เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ (สำหรับผลิตภัณฑ์หลังคา) และแอฟริกา (สำหรับปูนซีเมนต์)
นโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทที่มีตลาดส่งออกไปสหรัฐ ซึ่งทำให้ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ที่มีฐานการผลิตในไทย เวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ใช้จุดได้เปรียบดังกล่าวกระจายการผลิตส่งออกไปตลาดสหรัฐ
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เปิดเผยว่า ภาพรวมและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจครึ่งหลังปี 2568 มีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกสำคัญที่กระทบเศรษฐกิจโลก ได้แก่ 1.ภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 3.ความผันผวนของราคาพลังงาน
สำหรับประเด็นที่น่าจับตาใกล้ชิด คือ การประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐที่คาดว่าจะมีข่าวออกมา เพราะครึ่งปีแรก 2568 ธุรกิจไทยได้รับผลกระทบจากภาษี 10% และกังวลช่วงครึ่งปีหลังอัตราภาษีอาจเพิ่มขึ้นหากคิดอัตราเทียบเท่าภูมิภาค 20% จะส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“หากอัตราภาษีใกล้เคียงเวียดนาม ทุกคนจะสบายใจ แต่หากสูงกว่าเป็นเรื่องต้องกังวล แต่ต้องอย่าลืมประเด็น Transhipment จะเป็นอีกเรื่องที่ต้องปรับตัวเพื่อให้ Local Content เป็นไปตามเกณฑ์ภาษีของสหรัฐหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม SCG มั่นใจว่าการมีฐานการผลิตในอาเซียนทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย จะช่วยปรับกระบวนการผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐได้ ส่วนสินค้าที่ผลิตในไทยจะเน้นจำหน่ายและใช้งานในประเทศ แต่จะไม่ได้ทิ้งการลงทุนในไทย
“SCG จะไม่หนีแต่จะทำให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้น และหากได้รับผลกระทบจากภาษีสูงจะใช้ฐานการผลิตในเวียดนามหรืออินโดนีเซีย ซึ่งการโยกย้ายระบบการผลิตจะเข้มข้นขึ้น การมีฐานการผลิตในอาเซียนเป็นจุดแข็งที่สำคัญ และ Transhipment เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา”
เร่งหาตลาดใหม่แทนตลาดสหรัฐ
ทั้งนี้ ครึ่งปีหลังมี 3 ประเด็นหลักที่น่ากังวล แต่ SCG เตรียมแนวทางการรับมือไว้แล้ว โดยมองอาเซียนเป็นฐานการผลิตสำคัญ คือ
1.ชูฐานผลิตหลากหลายในอาเซียน ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและความได้เปรียบของ SCG โดยขยายการผลิตและนำเทคโนโลยีผลิตปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำไปเวียดนาม รวมถึงขยายเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปภูมิภาคเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและสร้างความแข็งแกร่งของฐานการผลิตทั่วโลก
2.ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต เช่น หุ่นยนต์, AI เพื่อเพิ่มมาตรฐานสินค้า ลดของเสียและลดต้นทุนการผลิตให้แข่งขันได้ในระดับโลก
3.ดันสินค้า Smart Value - HVA-Green รุกตลาดเติบโตสูง โดยเร่งขยายสินค้าราคาคุ้มค่าตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
ทั้งนี้ จะหาโอกาสตลาดใหม่และเจรจาการค้า โดยเปิดตลาดต่างประเทศใหม่แทนตลาดสหรัฐที่อาจได้รับผลกระทบจากภาษี โดยเฉพาะในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ (สำหรับผลิตภัณฑ์หลังคา) และแอฟริกา (สำหรับปูนซีเมนต์)
ยันเดินแผนดัน SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจปิโตรเคมีมีสัญญาณดีขึ้นในไตรมาส 2 แต่ยังไม่เข้าภาวะปกติ เพราะความต้องการจากจีนยังสูงแต่กำลังซื้อไม่เพิ่มขึ้นนัก ซึ่งหลังการประกาศภาษีของทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 ราคาน้ำมัน ผลิตภัณฑ์จากโรงกลั่นและวัตถุดิบเม็ดพลาสติกลดลง
ส่วนกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นไตรมาส 1 เป็นผลจากการปรับตัวของผู้เล่นในตลาด โดยคาดการณ์ว่าทั้งปีจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้น 12 ล้านตัน แต่จะถูกหักล้างด้วยการหยุดการผลิตถาวร 4 ล้านตัน และการปิดชั่วคราว 15 ล้านตัน เป็นต้น
“ไตรมาส 3 ยังเป็นช่วงท้าทาย แม้ปกติเป็นช่วงที่ซื้อขายมากเพื่อเตรียมสต็อกสำหรับคริสต์มาส แต่คาดว่าซัพพลายจะเพิ่มขึ้น 2 ล้านตัน และผู้เล่นในภูมิภาค”
สำหรับแนวทางของจีนในการควบคุมโรงงานปิโตรเคมีเก่าที่มีอายุเกิน 30 ปี และจะขยายไปถึงโรงงานที่มีอายุเกิน 20 ปี ในอนาคตอันใกล้ จะส่งผลให้กำลังการผลิต PP (Polypropylene) ลดลง 10% เป็นผลดีต่อภาพรวมของอุตสาหกรรม รวมทั้งนโยบายที่เอกชนหารือกันว่าจะไม่เน้นแข่งขันด้านราคา แต่จะแข่งขันกันที่คุณภาพเพื่อไม่ให้เกิดภาวะ “ฟาดฟันกันจนตายจากกันไป”
แผน SCGC เข้าตลาดหุ้นลากยาวปี 71
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าแผนการพิจารณานำบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จะชัดเจนภายในปี 2571 เพราะต้องรอให้โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของโรงงานลองเซิน ปิโตเคมิคอลส์ (LSP) แล้วเสร็จตามแผนในปี 2570 ก่อน
ส่วนความคืบหน้าโรงงาน LSP บริษัทคาดว่าจะเปิดดำเนินเชิงพาณิชย์ (COD) อีกครั้งในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ หลังประเมินว่าการเดินเครื่องของโรงงานในปัจจุบันยังดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ แต่หากพิจารณาแล้วว่าเดินเครื่องแล้วทำให้ผลการดำเนินงานเจ็บหนักก็อาจมีการหยุดดำเนินการทันที
ตลาดซีเมนต์และโอกาสในอาเซียน
“ตลาดซีเมนต์ในครึ่งปีหลังได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการภาครัฐ ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน ส่วนตลาดอาเซียนในกัมพูชา อินโดนีเซีย และเวียดนาม ยังคงมีการเติบโตสูง มองว่าปีนี้ GDP อาเซียนจะโตไม่ถึง 5% (ไม่รวมไทย)”
ทั้งนี้ เวียดนามและอินโดนีเซียมีแนวโน้มเติบโตดีจากข้อได้เปรียบด้านภาษีกับสหรัฐ ส่วนธุรกิจ Smart Living จะเน้นตลาดอาเซียนมากขึ้น รวมถึงขยายตลาดหลังคาไปออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งเติบโตที่ดีแต่ต้องปรับสินค้าให้เข้ากับความต้องการแต่ละประเทศ นอกจากนี้จะขยายตลาดปูนซีเมนต์ไปแอฟริกาที่มีทิศทางการเติบโต
รวมถึงบริษัทมองหาโอกาสซื้อกิจการใหม่ (M&A) อย่างต่อเนื่องเพื่อให้องค์กรเข้มแข็งขึ้น โดยอยู่ระหว่างเจรจาและหากได้ดีลที่ดีบริษัทมีกระแสเงินสดพร้อมเข้าลงทุนทันที อย่างไรก็ตามปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ที่ 30,000 ล้านบาท
ยืนยันธุรกิจในกัมพูชาไม่ได้รับผลกระทบ
ส่วนสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้ การดำเนินงานของกลุ่ม SCG ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งต้องขอบคุณพนักงานที่ช่วยสื่อสารและดูแลกันและกัน โดยเน้นย้ำว่าจะให้กำลังใจและช่วยเหลือพนักงานทุกคนให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้
รวมทั้ง SCG ยังคงติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด SCG พร้อมเผชิญความท้าทายด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและมุ่งมั่นที่จะเติบโตไปพร้อมกับภูมิภาคอาเซียน เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ SCG มุ่งดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินมาต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2567 ทำให้ครึ่งปีแรกปี 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งขึ้นอยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งปีหลังของปี 2567 ที่ 21% จากการปรับพอร์ตลงทุน การหยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ
ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2568 บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลง 7,164 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2568 หนี้สินสุทธิ ลดลง 8,365 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/2568 และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 45,542 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 เอสซีจี มีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท







