เปิดข้อเสนอสุดท้าย ‘ทีมไทยแลนด์’ ต่อรองภาษีสหรัฐ ยันประเทศวิน-วิน

“พิชัย” กางแผนทีมเจรจาไทย ย้ำข้อเสนอประเทศ "วิน-วิน" ลดภาษี และอุปสรรคการค้า จ่อนำเข้าเพิ่มสู่ลดเกินดุลการค้า พร้อมเพิ่มแผนลงทุนในสหรัฐ เชื่อมั่นอัตราภาษีไทยแข่งขันได้ในภูมิภาค
วันที่ 31 ก.ค.2568 ที่กระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีสหรัฐว่า คาดว่าภายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐจะมีการประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับอัตราภาษี Reciprocol Tariffs ที่ไทยจะได้รับ ซึ่งขณะนี้ข้อเสนอทั้งหมดโดยทีมเจรจาไทยได้ส่งไปถึงสหรัฐแล้ว
“คงรออีกไม่กี่ชั่วโมง คงจะได้ทราบผลอัตราภาษี ซึ่งทั้งหมดที่เราส่งไปวางอยู่บนโต๊ะ (สหรัฐ) แล้ว โดยข้อเสนอที่ไทยได้ยื่นไปนั้น คำนึงถึงแนวทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ผมยังคงใช้คำว่าวิน-วิน”
เปิดข้อเสนอสุดท้ายของไทย
สำหรับข้อเสนอที่ไทยใช้เจรจาต่อรองภาษีกับสหรัฐมีสาระสำคัญ ได้แก่ การลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ การเสนอซื้อสินค้าที่ไทยผลิตไม่เพียงพอในประเทศ เพิ่มการลงทุนในสหรัฐ และการแก้ไขอุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers)
นายพิชัย กล่าวต่อว่า ข้อเสนอที่ไทยยื่นไป ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราภาษีนำเข้านั้น อันที่จริงไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากประเทศไทยได้มีการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศอื่นๆ เกือบทั่วโลกแล้ว ดังนั้นการลดอัตราภาษีนำเข้าให้กับสหรัฐเพิ่มอีกประเทศจึงไม่แตกต่าง
สำหรับสินค้าที่ไทยพิจารณาจะนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มเติมนั้น ไม่ได้หมายความว่าลดภาษีแล้วจะต้องซื้อทั้งหมด แต่จะเน้นสินค้าที่ไทยไม่สามารถผลิตได้เอง หรือผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ และมีราคาที่สามารถแข่งขันได้
นายพิชัย กล่าวต่อว่า การนำเข้าที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกไปเพิ่มขึ้น จะทำให้ยอดการค้าโดยรวมใหญ่ขึ้น และสัดส่วนการเกินดุลการค้ากับสหรัฐก็จะลดลง
นอกจากนี้ ในด้านการลงทุนเพิ่มในสหรัฐนั้น ไทยได้นำเสนอไปแล้ว และยังพร้อมสนับสนุนหากสหรัฐสนใจมาลงทุนในไทย
ขณะที่ประเทศคู่ค้าอื่นๆ ที่ได้อัตราภาษี 15-20% ส่วนใหญ่เสนอเม็ดเงินลงทุนในสหรัฐกว่า 5-6 แสนล้านดอลลาร์นั้น นายพิชัย มองว่าขนาดแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ส่วนประเทศไทย เมื่อเทียบกับขนาด และฐานะของประเทศแล้ว ข้อเสนอไทยก็ดูดีเช่นเดียวกัน
โดยที่สำคัญที่สุด คือ การแก้ไขอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องลงรายละเอียดมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าของกฎระเบียบที่ซับซ้อน และการอนุมัติที่ช้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไทยควรทำอยู่แล้ว แม้จะไม่มีการเจรจาครั้งนี้ก็ตาม
เตรียมมาตรการรองรับ
นายพิชัย กล่าวว่า ยอมรับว่าไม่มีประเทศใดที่จะไม่ได้รับผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงกติกาการค้าครั้งใหม่ ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อม และทบทวนสิ่งที่ดำเนินการอยู่ โดยจะต้องเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ โดยเฉพาะสำหรับสินค้าที่ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าบางส่วน
รวมทั้ง การเสริมสร้างขีดความสามารถ ของบริษัทขนาดเล็ก (SME) ให้สามารถปรับตัว และแข่งขันได้ และที่สำคัญคือ การแก้ไขกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ และประกาศต่างๆ เพื่อส่งเสริมการค้าให้เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
นายพิชัย กล่าวว่า สำหรับภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ จะมีการพิจารณามาตรการเยียวยาหรือรองรับเป็นรายภาคส่วน ซึ่งอาจรวมถึงการส่งเสริมด้านการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยน และเพิ่มประสิทธิภาพ หรือการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว และประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
นายพิชัย ระบุว่า ผลกระทบต่อผู้ประกอบการในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากความไม่แน่นอนของอัตราภาษี ซึ่งทำให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกชะลอการตัดสินใจ แต่เมื่อมีความชัดเจน และอัตราภาษีอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ การดำเนินธุรกิจก็จะกลับมาเป็นปกติ โดยสุดท้ายแล้วผู้1ที่ได้รับผลกระทบคือ "ผู้ซื้อ" หรือคนอเมริกัน
“หากอัตราภาษีที่ไทยได้รับสูงกว่าคู่แข่งในอาเซียนมาก ก็น่ากังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุน แต่เชื่อมั่นว่าอัตราภาษีไทยน่าจะอยู่ในเกณฑ์เดียวกับคู่แข่ง”
นายพิชัย กล่าวว่า หลังจากทราบผลการเจรจาภาษีแล้ว กระบวนการถัดไปคือการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาและลงรายละเอียดการดำเนินงานต่อไป ก่อนที่จะเสนอสู่สภาในระยะต่อไป
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ทีมเจรจาไทยได้ส่งข้อเสนอไปให้ทางสหรัฐพิจารณาทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะได้ทราบผลภายในคืนนี้
“คาดว่าภายในคืนนี้ สหรัฐอเมริกาจะประกาศอัตราภาษีนำเข้าไทย โดยขณะนี้ประเทศไทยได้ส่งรายละเอียดข้อเสนอไปทั้งหมดแล้ว มองว่าผลที่ออกมาจะอยู่ในทิศทางที่ดี”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







