“จตุพร” ตั้งศูนย์วันสต๊อปเซอร์วิส ดูแลผู้ได้รับผลกระทบภาษีทรัมป์

“จตุพร” ตั้งศูนย์วันสต๊อปเซอร์วิส ดูแลผู้ได้รับผลกระทบภาษีทรัมป์

“จตุพร” มั่นใจสหรัฐ ประกาศภาษีไทยใน 24 ชั่วโมงนี้  ย้ำหลังภาษีทรัมป์ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ลุยตั้ง ศูนย์วันสต๊อปเซอร์วิส ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ถนนรัชดา ดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี  ชง ของบ รณรงค์บริโภคสินค้าไทย

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากกรณีมีกระแสข่าว โฮเวิร์ด ลุตนิก รมว.สหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับไทย-กัมพูชาแล้ว  หลังจากทั้งสองประเทศตกลงbตามข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ขณะนี้ตอนนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันข้อมูลที่เป็นทางการว่าสหรัฐจะประกาศภาษีกับไทยอัตราที่เท่าไร เพียงแต่ยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ได้ทำข้อมูลเสนอทีมคณะเจรจา ซึ่งมีรมว.คลัง เป็นหัวหน้า และหารือกับผู้เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว โดยหลังจากนี้ใน 24 ชั่วโมงจะต้องรอทางสหรัฐตอบยืนยันกลับมา ซึ่งยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ได้พิจารณาข้อมูลครบทุกมิติ และมีจุดยืนที่ชัดเจนในการดูแลประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อภาพรวมประเทศ

“ผมคิดว่าการประกาศของสหรัฐ ต้องออกมาทันใน 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ภาษีจะขึ้นไปเป็นที่ 36% ทันที แต่เวลาทั้ง 2 ประเทศ แตกต่างกัน 12 ชั่วโมงก็ต้องรอฟังผลกันอีกทีว่าเมื่อไร ส่วนจะเลื่อนวันออกไปหรือไม่ ก็ไม่ทราบ ต้องรอทางสหรัฐแจ้งมา”นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หลังวันที่ 1 ส.ค.ไปแล้ว ทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิม และภาษีจะต้องปรับขึ้น จะขึ้นมากหรือน้อยก็เท่านั้น ซึ่งในส่วนกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมพร้อม  ดูแลผู้ประกอบการเล็ก กลาง ใหญ่ไว้แล้ว รวมถึงการประสานหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟท์โลนมาเสริมสภาพคล่องเอกชน นอกจากนี้ ได้หารือรองนายกฯ พิชัย ในการตั้งศูนย์วันสต็อปเซอร์วิส ให้คำปรึกษาภาษีสหรัฐ ที่ศูนย์บริการส่งออกแบบเบ็ดเสร็จ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมารวมอยู่ที่ตรงจุดนั้น เพื่อให้คำปรึกษาแบบครบถ้วนทุกเรื่องแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ กระทรวงพาณิชย์ เตรียมทำโครงการ เสนอขอใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังเหลืออยู่ ในการหาตลาดใหม่ การเจรจาการค้า เพื่อรองรับผลกระทบที่เกิดจากการขึ้นภาษี ตลอดจนการทำโครงการไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย  ในการส่งเสริมการบริโภคสินค้าภายในประเทศ ทดแทนการส่งออกที่อาจลดลงด้วย