SCGD จ่อย้ายฐานผลิตซบเวียดนาม หนุนส่งออกรับมือ 'ภาษีทรัมป์'

SCGD ทุ่มงบลงทุน 5 ปีกว่า 7 พันล้านบาท เน้นขยายฐานผลิตหักหมุดเวียดนาม สู้ศึก "ภาษีทรัมป์" ชูกำไร Q2/68 แกร่งสุดรอบ 5 ไตรมาส
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ผู้นำในธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า แม้สถานการณ์ตลาดในประเทศไทยยังคงไม่เอื้ออำนวย บริษัทฯ ยังคงสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในตลาดเวียดนามที่มีความแข็งแกร่งและเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม แม้ยอดขายช่วงครึ่งปีแรกปรับลดลง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไทยที่ชะลอตัว แต่กำไรสุทธิดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนสะท้อนถึงความพร้อมและความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถคว้าโอกาสจากความท้าทายจากเศรษฐกิจได้ด้วย 3 กลยุทธ์เข้มข้น ดังนี้
1. ปักหมุดเวียดนามเป็นฐานการผลิต-ส่งออก เสริมศักยภาพความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก โดยเวียดนามเริ่มผลักดันต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้เทียบเท่ากับผู้เล่นระดับโลกได้แล้ว อีกทั้งเร่งเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกลซพอร์ซเลนกว่า 25% ของกำลังการผลิตรวม ส่งผลให้เวียดนามมีปริมาณการขายกระเบื้องเกลซพอร์ซเลนสูงขึ้นสอดคล้องกับความนิยมและความต้องการของตลาด เตรียมพร้อมเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก รองรับการเติบโตของภูมิภาค
2. ขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และธุรกิจที่มีการเติบโตสูง เจาะตลาดทุกเซกเมนต์ด้วยสินค้า HVA และสินค้านำเข้าคุณภาพ ราคาและต้นทุนที่แข่งขันได้ อาทิ กลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ปัจจุบันบริษัทมียอดขายกลุ่ม HVA กว่า 37% จากรายได้จากการขายเทียบกับปีก่อนที่ 34% อีกทั้ง ขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทย ที่จะเพิ่มโอกาสความหลากหลาย (Sourcing) ตอบโจทย์กลุ่มที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง
3. มุ่งลดต้นทุนการผลิต-การบริหารจัดการ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ ลดต้นทุนการผลิตแล้วกว่า 36 ล้านบาทต่อปี ด้วยโครงการการใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวลที่แล้วเสร็จในปีนี้ อีกทั้งโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มเติม อาทิ โครงการติดตั้งระบบ Hot Air Generator ที่โรงงานนิคมหนองแค ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2569 ลดต้นทุนการบริหารจัดการ ด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบคุมสินค้าคงคลัง และบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้า อีกทั้งการปรับโครงสร้างธุรกิจใช้ AI และระบบ Digital เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สามารถลดต้นทุนรวมได้กว่า 140 ล้านบาทต่อปี
นายนำพล กล่าวถึงสถานการณ์การค้าโลกและประเด็นภาษีสหรัฐว่า แต่ละประเทศในอาเซียนมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันออกไป หากบริษัทฯ เป็นผู้เล่นในไทยเพียงอย่างเดียวจะประสบความยากลำบาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องติดตามท่าทีของภาครัฐในการปรับลดอัตราภาษีจาก 36% เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งบริษัทฯ จะปักหมุดเวียดนามเป็นฐานการผลิตหลัก เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก โดยจะเห็นได้ว่าสัดส่วนการส่งออกจากเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโต 21% ในไตรมาสเดียวกัน และ 4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่า SCGD มีขีดความสามารถเทียบเท่าผู้ผลิตระดับโลก
"รายได้จากการส่งออกจากเวียดนามขยับขึ้นมาอยู่ที่ 27.3% สูงกว่าปีก่อน โดยมีการส่งออกไปยังเม็กซิโกและพื้นที่ใกล้เคียงสหรัฐ ซึ่งเป็นการขยายรัศมีทางการค้า ขยายกำลังการผลิต โดยผลิตภัณฑ์กระเบื้องยังคงเป็นสินค้าหลักที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วอาเซียน และจะเป็นสินค้าหลักในการขยายการเติบโตต่อไป"
สำหรับตลาดเวียดนามในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และการปรับเปลี่ยนกฎหมายที่ดิน แต่ปัจจุบันกฎหมายเริ่มมีความชัดเจนขึ้น และคาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า ตลาดเวียดนามจะเติบโตจาก 25% เป็น 30-40% ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญของ SCGD
ส่วนในกลุ่มอาเซียน ประเทศที่ทำรายได้ให้กับ SCGD มากที่สุดคือ เมียนมา รองลงมาคือลาว และกัมพูชา ส่วนงบลงทุนระยะยาวในช่วงปี 2568-2573 อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งจะเน้นไปที่เวียดนามเป็นหลัก และคาดว่าจะมีการควบรวมกิจการ (M&A) ในธุรกิจเซรามิกและผลิตภัณฑ์ในเวียดนามให้แล้วเสร็จภายในปีนี้
สำหรับประเด็นภาษีทรัมป์ที่อาจทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยนั้น SCGD ได้มีการปรับโครงสร้างต้นทุนและเจรจากับซัพพลายเออร์ทั้งในจีน ยุโรป และประเทศอื่นๆ เพื่อขอความร่วมมือในการลดต้นทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าจีน ซึ่งบางรายได้ลดราคาให้ และบางรายปรับสูตรการผลิตเพื่อให้ใช้ปริมาณวัตถุดิบลดลง แต่ยังคงรักษาฐานกำไรไว้ได้ ทำให้มั่นใจว่าในไตรมาส 3 นี้ ต้นทุนจะสามารถแข่งขันกับสินค้าจีนได้ โดย SCGD จะนำสินค้าที่ผลิตในเวียดนามเข้ามาจำหน่ายในไทยแทนแข่งกับสินค้าจีน
ในส่วนของผลกระทบจากสถานการณ์ในกัมพูชา แม้ว่าจะมีการส่งออกไปประมาณ 30 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งไม่มากเมื่อเทียบกับพอร์ตของบริษัทฯ แต่ SCGD ต้องการให้สถานการณ์สงบลงโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ธุรกิจกลับมาเป็นปกติ เนื่องจากกัมพูชายังคงใช้สินค้าของ SCGD อย่างต่อเนื่อง อาทิ เซรามิกและสุขภัณฑ์ ในช่วงครึ่งปีหลัง SCGD ได้เตรียมความพร้อมของสินค้าไว้แล้ว หากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ยอดขายที่หายไปจะกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
"SCGD มี 2 กระเป๋าในการดำเนินธุรกิจ หากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวหรือได้รับผลกระทบจากภาษี สามารถย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามได้ ซึ่งจะช่วยปิดช่องว่างทางการส่งออกและรักษาโอกาสทางธุรกิจไว้ได้ แม้การย้ายฐานผลิตจากไทยไปเวียดนามจะมีความเสี่ยงด้านความผันผวนของภาษีในอนาคต แต่ด้วยประสบการณ์การทำธุรกิจในเวียดนามกว่า 10 ปี ทำให้ SCGD มีความได้เปรียบในการปรับพอร์ตและมีความคล่องตัวมากกว่าคู่แข่ง"
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่ายอดขายรวมทั้งปีของ SCGD อาจจะลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนเพื่อลดต้นทุนยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการชะลอตัว รวมถึงการขยายการลงทุนในเวียดนามเพิ่มเติมตามแผน โดยแนวโน้มตลาดในประเทศไทยคาดว่าจะยังคงทรงตัวในไตรมาส 3 ซึ่งอาจทำให้ยอดขายเมื่อเทียบกับปีที่แล้วลดลงบ้าง แต่ SCGD จะผลักดันยอดขายในเวียดนามให้เติบโตเพื่อมาช่วยรักษาสมดุลของยอดขายรวมของบริษัทฯ
นายนำพล กล่าว บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 38,787 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงิน มีความสามารถในการเติบโตระยะยาว รวมทั้ง ยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับแผนการเติบโตในอนาคต ล่าสุด บริษัทได้ร่วมมือกับ AXENT Switzerland ศึกษาความเป็นไปได้ในการขับเคลื่อนการเติบโตตลาดสุขภัณฑ์อัจฉริยะครบวงจร ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ ในครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทได้ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ และเพิ่มผู้แทนจำหน่ายเป็น 177 ราย และมียอดขายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ อยู่ที่ 244 ล้านบาท โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่ง 3 ประเทศนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโต ขณะที่แผนการควบรวมกิจการ (M&A) ก็ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
และสำหรับการขยายธุรกิจสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่องภายในไทย เพื่อต่อยอดไปสู่อาเซียนในอนาคต ในครึ่งปีแรกของ ปี 2568 บริษัทมียอดขายจากสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่องกว่า 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลประกอบการไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจในไตรมาส 2 ปี 2568 มี EBITDA อยู่ที่ 879 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน มีกำไร 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน จากโครงการลดต้นทุนพลังงาน เร่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) รวมถึงปรับโครงสร้างธุรกิจส่งผลให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายที่ลดลง บริษัทมี EBITDA on sales อยู่ที่ 15.2% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 4.8% ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2567
นอกจากนี้ ปริมาณการขายกระเบื้องในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 31.7 ล้านตารางเมตร โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาคโดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่ง SCGD มีธุรกิจ PRIME ที่สามารถบริหารต้นทุนให้แข่งขันเทียบเท่าผู้เล่นระดับโลกจากการที่บริษัทปรับตัวเชิงรุกพร้อมรับมือความผันผวน เดินหน้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและในประเทศอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท (คิดเป็นเงิน 247.5 ล้านบาท) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 13 สิงหาคม 2568







