MPI มิ.ย. บวก ภาษีทรัมป์ ฉุดส่งออก จี้รัฐอุ้ม SME 2 หมื่นล้านดอลลาร์

"ภาษีทรัมป์" ฉุด SMEs ไทยเสี่ยง "สศอ." เผยดัชนี MPI เดือน มิ.ย. 68 ยังบวก แนะรัฐเร่งอุ้มส่งออก 2 หมื่นล้านดอลลาร์
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 97.35 ขยายตัว 0.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเดือนที่ 3 ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.58% ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 96.75 ขยายตัว 1.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยสนับสนุนหลักต่อภาคการผลิต ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ 17.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคุณสู้เราช่วยที่ขยายเวลาลงทะเบียน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง มีมูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัว 15.0% เป็นเดือนที่ 12 เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐก่อนที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า
อย่างไรก็ตาม ความไม่ชัดเจนของผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐยังคงกดดันภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศคู่แข่งสำคัญทางการค้าสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาได้มากขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2568 ปรับตัวลดลง มีปัจจัยหลักจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การทะลักของสินค้าต่างประเทศ และเงินบาทที่แข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น การบริโภคภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของสินค้าอุตสาหกรรมโดยรวม นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวมีการชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนกรกฎาคม 2568 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยปัจจัยในประเทศชะลอตัวลงตามการลงทุนภาคเอกชนและการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางที่ปรับลดลง รวมถึงความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อที่ยังคงมีสภาวะแย่ลง ด้านปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ ภาคการผลิต และความต้องการสินค้ายังมีความไม่แน่นอนสูง
"ภาคอุตสาหกรรมไทยยังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าส่งออกหลักของไทยที่ผู้ผลิตหลักเป็น SMEs มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ อัญมณี อาหารสัตว์เลี้ยง ปลาทูน่ากระป๋อง และถุงมือยาง"
ทั้งนี้ รัฐบาลจึงเร่งรับมือด้วยการสนับสนุนให้ใช้สินค้าไทยในประเทศผ่านมาตรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพิ่มแรงจูงใจให้เอกชนใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ส่งเสริมการรับรองคุณภาพสินค้า เช่น การออกใบ certificate ให้กับพลอยเจียระไนและเครื่องประดับไทย ขยายตลาดทดแทนในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ตลอดจนผลักดันสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ เครื่องประดับ “Luxury Thai Brand” และถุงมือยางชนิดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิมและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนมิถุนายน 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่
1. ยานยนต์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17.02% จากผลิตภัณฑ์รถยนต์นั่งไฮบริดขนาดใหญ่ รถยนต์ไฮบริดขนาดเล็ก และรถยนต์ไฟฟ้า เป็นหลัก ตามกระแสความนิยมและความต้องการของตลาด ในขณะที่รถบรรทุกปิคอัพขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและส่งออก
2. ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.18% จากผลิตภัณฑ์ PCBA, Integrated Circuits (IC) และ semiconductor devices เป็นหลัก ตามการขยายตัวของตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลก ประกอบกับเร่งส่งออกไปสหรัฐอ
3. น้ำมันปาล์ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.84% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบเป็นหลัก เนื่องจากปริมาณผลปาล์มออกสู่ตลาดมากขึ้นและมีคำสั่งซื้อจากอินเดีย จีน และเมียนมาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดส่งออกขยายตัว
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนมิถุนายน 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่
1. เครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.17% จากผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ เป็นหลัก เนื่องจากลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อจากภาวะเศรษฐกิจ
2. ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.15% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเบนซิน 91 และ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็นหลัก จากการชะลอตัวของการท่องเที่ยว ประกอบกับการใช้ยานยนต์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น
3. เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์น้ำแร่และน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทอื่น ๆ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.97% จากผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมและเครื่องดื่มกาแฟสำเร็จรูป เป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุง รวมทั้งมีผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวต่อเนื่องกว่า 6 เดือน







