พาณิชย์ เผย ครึ่งปี 68 จัดตั้งธุรกิจใหม่ทะลุ 4.3 หมื่นราย

พาณิชย์ เผย ครึ่งปี 68 จัดตั้งธุรกิจใหม่ทะลุ 4.3 หมื่นราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า  เผย ยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีจำนวน 43,838 ราย ทุนแตะ 1.5 แสนล้าน คาดครึ่งปีหลังจดทะเบียนธุรกิจเพิ่มจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  จับตาปัจจัยเสี่ยงจากภาษีทรัมป์

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนมิ.ย. 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,023 ราย ลดลง 4.46% ทุนจดทะเบียน 18,113 ล้านบาท ลดลง 35.26  โดยธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 580 ราย ทุนจดทะเบียน 1,083 ล้านบาท 2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 387 ราย ทุนจดทะเบียน 1,332 ล้านบาท 3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 295 ราย ทุนจดทะเบียน 511 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในเดือนมิ.ย. มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย คือ บริษัทราชดำริ ฮอลพิทอลลิตี้ แมเนจเมนท์ จำกัด ประกอบกิจการโรงแรม มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 2,600 ล้านบาท

ส่วนการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนมิ.ย. 2568 มีจำนวน 1,468 ราย เพิ่มขึ้น 3.67 % มีทุนจดทะเบียนเลิก 10,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.16% ) ทั้งนี้ เดือนมิ.ย.มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการถึง 3 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 4,324 ล้านบาท ธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 100 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 198 ล้านบาท  2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 84 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 436 ล้านบาท และ 3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 74 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 177 ล้านบาท

พาณิชย์ เผย ครึ่งปี 68 จัดตั้งธุรกิจใหม่ทะลุ 4.3 หมื่นราย

นางอรมน กล่าวว่า สำหรับภาพการจัดตั้งใหม่ในครึ่งปีแรกของปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย. 2568) มีจำนวน 43,838 ราย ลดลง 5.49%  ทุนจดทะเบียน 149,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.80 % ธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 3,490 ราย 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,870 ราย และ 3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 1,832 ราย

การจดทะเบียนเลิกครึ่งปีแรก มีจำนวน 6,244 ราย เพิ่มขึ้น 3.39%  ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 30,544 ล้านบาท ลดลง 60.20%  โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 547 ราย 2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 316 ราย และ 3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 276 ราย

 ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกของปี 2568 แม้ตัวเลขการจัดตั้งธุรกิจจะชะลอตัวบ้าง แต่เงินลงทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ในส่วนของการจดเลิกธุรกิจตัวเลขขยับขึ้นเล็กน้อยแต่ทุนเลิกลดลง ซึ่งถือว่าเป็นไปตามวัฎจักรของการจดทะเบียนธุรกิจ  โดยสัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจต่อการจดทะเบียนเลิกมีสัดส่วนอยู่ที่ 7:1 กล่าวคือ จัดตั้ง 7 ราย เลิก 1ราย โดยสัดส่วนนี้เท่ากับค่าเฉลี่ยของครึ่งปีแรกในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567)

 สำหรับธุรกิจที่เป็นแรงผลักดันให้การจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 มาจาก 5 ธุรกิจหลักๆ ได้แก่ 1. ขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ เติบโตคิดเป็น 64.45% 2. โรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด เติบโตคิดเป็น 48.93% 3. กิจกรรมทางกฎหมาย (สำนักงานหรือที่ปรึกษากฎหมาย) เติบโตคิดเป็น 46.79% 4. ขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง เติบโตคิดเป็น 46.40%  และ 5.ขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึงคนโดยสาร เติบโตคิดเป็น 21.05%

ธุรกิจที่การเติบโตลดลง เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้แก่ 1. ขายปลีกสินค้าอื่นๆ ในร้านค้าทั่วไป ลดลงคิดเป็น 31.50% 2. กิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง ลดลงคิดเป็น 29.11% 3.ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ลดลงคิดเป็น 26.05% 4.อสังหาริมทรัพย์ ลดลงคิดเป็น 21.50% และ 5.ภัตตาคาร/ร้านอาหาร ลดลงคิดเป็น 12.97%

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย.2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,008,668 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.96 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 959,099 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.67 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 758,722 ราย หรือ 79.11% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.88 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 198,882 ราย หรือ 20.74% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด1,495 ราย หรือ 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.36 ล้านล้านบาท 

นิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 520,337 ราย ทุนจดทะเบียน 13.10 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 313,174 ราย ทุน 2.58 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 125,588 ราย ทุน 6.99 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.25%, 32.66% และ 13.09% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ

นางอรมน กล่าวว่า  สำหรับแนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง 2568 (ก.ค.-ธ.ค.) คาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังของปี 2568 จะมีจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลังของปี 2567 โดยอยู่ที่ประมาณ 41,000-42,000 ราย และตลอดทั้งปี 2568 คาดว่ามียอดจดทะเบียนรวม 85,000 ราย ใกล้เคียงกับปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการเที่ยวคนละครึ่ง และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SMEs ซึ่งช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้  ยังต้องจับตาผลกระทบจากสถานการณ์ มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tax) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยในช่วงครึ่งปีหลัง    ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะติดตามสถานการณ์และเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการไทยด้วยองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าและเทคโนโลยีที่ทันสมัย การจับคู่ธุรกิจและเพิ่มโอกาสทางการตลาด การจับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการรับมือกับโอกาสและความท้าทายของเศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศต่อไป