หยุดยิงไทย-กัมพูชา: สันติภาพที่ยั่งยืนหรือจุดเริ่มต้นของวิกฤติใหม่?

หยุดยิงไทย-กัมพูชา: สันติภาพที่ยั่งยืนหรือจุดเริ่มต้นของวิกฤติใหม่?

เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ปะทุอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงหลังจากการไกล่เกลี่ยของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน

และแรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่ขู่จะไม่ทำข้อตกลงการค้ากับทั้งสองประเทศ ถึงแม้ว่าข่าวดีนี้จะช่วยบรรเทาความกังวลในตลาดการเงินได้ชั่วคราว แต่เมื่อวิเคราะห์ในเชิงลึกแล้ว ความเสี่ยงของการกลับมาปะทะกันอีกครั้งยังคงมีอยู่สูง เพราะปัญหารากฐานของความขัดแย้งระหว่างสองประเทศยังไม่ได้รับการแก้ไข

การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับความขัดแย้งในอดีตพบว่า วิกฤติครั้งนี้มีลักษณะที่แตกต่างจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงปี 2551-2554 ความขัดแย้งเป็นรูปแบบ “roller coaster” ที่การเจรจาและการต่อสู้สลับกันไปมา มีผู้เสียชีวิตรวม 34 คน และการอพยพประชาชนเพียงหมื่นคน ครั้งนี้ตรงกันข้าม การขยายตัวเร็วและรุนแรงกว่ามาก 

เริ่มจากเหตุการณ์ทหารไทย 5 นายบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดในวันที่ 23 ก.ค. และลามถึงการใช้อาวุธหนักทั้งสองฝ่ายรวมถึงเครื่องบิน F-16 นอกจากนั้น สงครามได้ขยายตัวสู่อ่าวไทยในวันที่ 26 ก.ค. ทำให้ผู้เสียชีวิตรวม 36 คน และการอพยพประชาชนมากกว่า 150,000 คน ซึ่งมากกว่าสิบเท่าของปี 2554

นัยทางการเมืองของความขัดแย้งครั้งนี้สะท้อนถึงวิกฤติการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ สำหรับไทย การที่นายกรัฐมนตรีถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ และรัฐบาลผสมอยู่ในสภาพเปราะบางหลังจากการแยกตัวของพรรคร่วม ขณะที่อารมณ์ชาตินิยมเพิ่มขึ้นและทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศสูงขึ้น

ส่วนทางกัมพูชา การขัดแย้งครั้งนี้เป็นโอกาสสำหรับฮุน เซนและฮุน มาเนตในการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองผ่านการแสดงบทบาทผู้ปกป้องอธิปไตยของชาติ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกัมพูชาชะลอตัวและต้องการการสนับสนุนจากประชาชน

 

ทั้งสองประเทศใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ไทยอาศัยความได้เปรียบทางทหารที่มีกองทัพขนาดใหญ่กว่าสามเท่าและอาวุธที่ทันสมัยกว่า และความสัมพันธ์พันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ขณะที่ในส่วนกัมพูชาแม้จะมีขีดความสามารถทางทหารจำกัด แต่ใช้ยุทธศาสตร์การทูตระหว่างประเทศได้อย่างชาญฉลาด ทั้งการนำเรื่องไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ การใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีน และการสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นฝ่ายถูกรุกราน

อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการหยุดยิง โดยการข่มขู่ว่า “เราจะไม่ทำข้อตกลงการค้าเว้นแต่พวกคุณจะยุติสงคราม” ซึ่งมีน้ำหนักมากโดยเฉพาะกับไทยที่กำลังเจรจาเพื่อลดภาษีนำเข้าจากอัตรา 36% ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้  แรงกดดันนี้กลายเป็นปัจจัยแก้ไขที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้กำลังทหาร แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเศรษฐกิจในการแก้ไขความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์สมัยใหม่

ทั้งนี้ หากการหยุดยิงไม่สำเร็จจะกระทบต่อการค้าการลงทุนของทั้งสองประเทศมาก โดยในปี 2567 การส่งออกของไทยไปยังกัมพูชาสูงถึง 9,168 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า (6,378 ล้านดอลลาร์) อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การส่งออกไทยไปกัมพูชาคิดเป็นเพียง 3% ของการส่งออกไทย

ด้านแรงงาน ไทยมีการพึ่งพาแรงงานกัมพูชาระหว่าง 0.5-1.5 ล้านคน เพื่อชดเชยการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง และอุตสาหกรรมการผลิต โดยแรงงานกัมพูชาคิดเป็นกว่า 80% ของแรงงานภาคเกษตรในจังหวัดจันทบุรี ในทางกลับกัน เศรษฐกิจกัมพูชามีความเปราะบางและพึ่งพิงไทยอย่างลึกซึ้ง โดยมีรายได้จากเงินโอนแรงงานที่ส่วนใหญ่ทำงานในไทยสูงถึง 2,950 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 6.6% ของ GDP กัมพูชา

 

ขณะที่การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ โดยมีส่วนร่วมประมาณ 12% และ 9% ต่อ GDP ของไทยและกัมพูชาตามลำดับในปี 2567 แม้ไทยจะได้รับผลกระทบน้อยกว่ากัมพูชาในเบื้องต้น เนื่องจากพื้นที่ท่องเที่ยวหลักอยู่ห่างไกลจากชายแดน แต่ในระยะยาว หากความรุนแรงไม่ยุติลง อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงท่ามกลางจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศที่กำลังลดลง

จากการวิเคราะห์ 5 ฉากทัศน์ของความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พบว่าผลกระทบต่อ GDP ไทยในปี 2568 จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและระยะเวลาของความขัดแย้ง

กรณีแรก หากการหยุดยิงและเจรจาอย่างรวดเร็ว (ความน่าจะเป็น 60%) จะส่งผลกระทบต่อ GDP เพียง 0.1-0.2% เนื่องจากการสูญเสียการค้าชายแดนเป็นเพียงระยะสั้น 1-2 เดือน และต้นทุนการป้องกันเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท

กรณีที่สอง หากความขัดแย้งระยะยาว (โอกาส 25%) จะส่งผลกระทบต่อ GDP ในระดับ 0.5-0.8% จากการหยุดชะงักของการค้าชายแดน 6-18 เดือน ที่ทำให้สูญเสียรายได้ 1.5-3.0 แสนล้านบาท

กรณีที่สาม หากสงครามวงกว้างและลามจากชายแดนไปภูมิภาคอื่น ๆ (10%) จะสร้างผลกระทบรุนแรงต่อ GDP ในระดับเกิน 1.0% จากค่าใช้จ่ายทางทหารที่เพิ่มขึ้น และการลงทุนโดยตรงต่างชาติที่ลดลง

กรณีที่สี่ การแทรกแซงของมหาอำนาจ (โอกาส 4%) โดยหากสหรัฐ และจีนเข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งโดยตรง ผ่านการให้การสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจแก่แต่ละฝ่าย ทำให้งบประมาณป้องกันประเทศเพิ่มรุนแรงขึ้น เงินบาทอ่อนค่า และการค้าระหว่างประเทศผ่านอ่าวไทยหยุดชะงักบางส่วน และ GDP ในระดับ 2.0% ขึ้นไป

กรณีสุดท้าย ได้แก่ สงครามเต็มรูปแบบ (โอกาส 1%) ซึ่งเลวร้ายที่สุดแต่มีโอกาสเกิดขึ้นต่ำ และอาจทำให้ GDP หดตัว ทำให้งบประมาณป้องกันประเทศเพิ่มขึ้น 3-7 เท่าของงบปกติ การลงทุนต่างชาติหยุดชะงักเกือบทั้งหมด การท่องเที่ยวสูญเสียรายได้กว่า 0.8-1.2 ล้านล้านบาท และเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นและหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ประสบการณ์จากความขัดแย้งในอดีตแสดงให้เห็นว่า การหยุดยิงชั่วคราวอาจกลายเป็นการหยุดพักการต่อสู้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปะทะครั้งต่อไปมากกว่าการแก้ไขปัญหาอย่างถาวร โดยเฉพาะเมื่อการเปิดแนวรบทางทะเลในอ่าวไทยที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งสามารถขยายตัวอย่างไม่คาดคิดได้ โดยประเด็นที่ต้องจับตา ได้แก่ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กัมพูชายังคงต้องการนำไปพิจารณาในสี่พื้นที่พิพาท ขณะที่ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาล

ดังนั้น ในกรณีของนักลงทุนและภาคธุรกิจ การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนรองรับความเสี่ยงยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะแม้ว่าข้อตกลงหยุดยิงจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดได้ชั่วคราว แต่ความเสี่ยงของการกลับมาปะทะกันอีกครั้งยังคงมีอยู่สูง ตราบใดที่ปัญหารากฐานของความขัดแย้งระหว่างสองประเทศยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง

 *บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่