รวมมาตรการด่วน ‘คลัง’ ช่วยผู้ได้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา

“คลัง” ออกมาตรการด่วน ช่วยผู้ได้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา ขยายวงเงินทดรองฯ ให้ผู้ว่าฯ 7 จังหวัด อัดฉีดสินเชื่อ ผ่อนปรนภาษี เยียวยาครบวงจร
วันที่ 29 ก.ค.2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณ ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่
1.มาตรการในระดับพื้นที่ ขยายวงเงินทดรองราชการ ให้ผู้ว่าราชการ 7 จังหวัด จังหวัดละ 100 ล้านบาท และพร้อมพิจารณาขยายเพิ่มหากไม่เพียงพอ เพื่อให้จังหวัดสามารถบริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว
นอกจากนี้ ยังอำนวยความสะดวกการจัดซื้อจัดจ้าง พัสดุที่เกี่ยวข้องกับภารกิจด้านความมั่นคงให้สามารถดำเนินการได้อย่างเร่งด่วน ผ่านวิธีเฉพาะเจาะจง
รวมทั้งเตรียมมาตรการด้านสินเชื่อ เพื่อช่วยเหลือประชาชนผ่านธนาคารของรัฐ เช่น ธ.ก.ส. โดยจะให้สินเชื่อเสริมสภาพคล่องแก่เกษตรกร รวมถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) สำหรับผู้ได้รับความเสียหาย
2.มาตรการด้านภาษี เลื่อนเวลาการยื่นแบบ และชำระภาษี ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีเงินได้นิติบุคคล, ภาษีหัก ณ ที่จ่าย, ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ จากเดิมระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2568 เป็นภายในวันที่ 30 กันยายน 2568
รวมทั้ง ลดหย่อนค่าซ่อมแซม ประชาชนสามารถหักลดหย่อนค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยจากเหตุการณ์ความเสียหายได้ตามจริงไม่เกิน 100,000 บาท และสำหรับยานพาหนะไม่เกิน 30,000 บาท
"ส่วนมาตรการเยียวยาเราได้มีการเตรียมการไว้แล้ว ซึ่งรัฐบาลได้มีการประเมินไว้แล้วว่าในเหตุการณ์นี้มีประชาชนได้มีการอพยพกว่า 1.6 แสนคน ซึ่งต้องดูว่าจะเตรียมมาตรการดูแลอย่างไร เพราะในจำนวนนี้มีผู้อพยพที่ไม่ได้ทำงานในช่วงนี้รายได้ก็จะหายไปจึงต้องมีมาตรการชดเชยที่เหมาะสม"
3.มาตรการจากสถาบันการเงินของรัฐ โดยสถาบันการเงินของรัฐหลายแห่งพร้อมใจออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้
- ธนาคารออมสิน: พักชำระเงินต้นถึงงวดเดือนธันวาคม 2568, สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไม่ต้องมีหลักประกัน 20,000 บาท/ราย ดอกเบี้ย 0.60% / เดือน, สินเชื่อเพื่ออาชีพ ดอกเบี้ย 0.75% / เดือน, สินเชื่อ SMEs ลูกค้าเดิม / ใหม่ ดอกเบี้ยพิเศษ และยกเว้นค่าธรรมเนียมบางรายการ
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) : สินเชื่อฉุกเฉินไม่เกิน 50,000 บาท/ราย ดอกเบี้ย MRR (6.725%) ผ่อน 3 ปี ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือน, สินเชื่อฟื้นฟูชีวิต และทรัพย์สินไม่เกิน 500,000 บาท ดอกเบี้ย MRR - 2% ต่อปี ผ่อนสูงสุด 15 ปี
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) : ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01% นาน 5 ปี, สำหรับผู้ที่บ้านเสียหายทั้งหลัง/ทุพพลภาพ/เสียชีวิต ได้สิทธิดอกเบี้ย 0.01% ตลอดอายุสัญญา, กู้สร้างบ้านใหม่ ดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก และ 0.50% ปีถัดไป
- ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME D Bank): พักชำระเงินต้น, ลดค่างวด, ขยายเวลา, สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เช่น “ปลุกพลัง SME” และ “Beyond ติดปีก SME” ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ผ่อน 10 ปี, สินเชื่อรีไฟแนนซ์ SMEs เริ่มต้น 2.99%
- ธนาคารเพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank): ขยายเวลาชำระหนี้ 365 วัน, ลดดอกเบี้ยสูงสุด 20%, เพิ่มวงเงินชั่วคราวสูงสุด 30 ล้านบาท และมาตรการเสริมอื่นๆ
- ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (IBank): พักชำระเงินต้น และกำไรสูงสุด 6 เดือน (ขยายได้อีก 6 เดือน), สินเชื่อเพื่อซ่อมบ้าน เริ่มต้น 1.99% ต่อปี วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท, สินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ เริ่มต้น 3.25% วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท
- บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.): โครงการ PGS11 “SMEs ยั่งยืน” ค้ำประกัน 0.5 – 10 ล้านบาท ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก, โครงการ SMEs Micro Biz ค้ำประกัน 10,000 – 500,000 บาท ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก (เปิดรับคำขอถึง 30 ธันวาคม 2568)
"กระทรวงการคลัง หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับผลกระทบสามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







