แพคเกจ“เกษตร-แบงค์-คมนาคม” ช่วยรับมือผลกระทบชายแดนกัมพูชา

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ฝั่งไทยที่เกิดจากการโจมตีของกัมพูชาได้ส่งผลกระทบต่อราษฎรที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างไร้มนุษยธรรม
ในรูปแบบการสูญเสียโอกาสความเป็นอยู่ที่สงบสุข การทำมาหากิน จนกระทั่งโอกาสที่จะมีชีวิต ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ทุกท่าน
เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นหน่วยงานต่างๆจึงกำหนดแผนการช่วยเหลือด้านต่างๆ เริ่มต้นที่ กระทรวงคมนาคม สั่งให้กำกับดูแลหน่วยงานด้านการขนส่ง สนับสนุนภารกิจของฝ่ายความมั่นในพื้นที่ทันทีเมื่อได้รับการประสานขอรับการสนับสนุนระดมสรรพกําลัง และเพื่ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่
“สั่งการไปยังกรมการขนส่งทางบก และบริษัท ขนส่ง จำกัด เตรียมความพร้อมด้านการสนับสนุนสรรพกำลังที่อยู่ในภารกิจความรับผิดชอบของหน่วยงานให้พร้อมสนับสนุนได้ทันทีเมื่อได้รับการประสานงาน รวมทั้งได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานภายใต้การกำกับในพื้นที่ติดตามสถานการณ์และข้อสั่งการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนผู้มาใช้บริการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เป็นสำคัญ”
เช่นเดียวกันได้ประสานสายการบินสัญชาติไทย ทั้ง 7 สายการบิน พร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ โดยขณะนี้ มี 4 สายการบิน ที่ทำการบินในเส้นทาง กรุงเทพ-กัมพูชา อยู่แล้วเพิ่มจำนวนที่นั่งให้เพียงพอต่อความต้องการของคนไทยในกัมพูชาที่ต้องการเดินทางกลับประเทศไทย ในส่วนของมาตรการฉุกเฉินนั้นทุกฝ่ายได้จัดเตรียมแผนรองรับไว้เรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน
ด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีข้อสั่งการเร่งด่วนให้จัดตั้ง“War room ติดตามและแก้ไขสถานการณ์ด้านการเกษตร ชายแดนไทย-กัมพูชา”เพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม และวิเคราะห์ผลกระทบด้านการเกษตรในพื้นที่จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างใกล้ชิด
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ติดตามสถานการณ์พื้นที่เกษตรในแนวชายแดนแบบเรียลไทม์ 2. ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการผลิตพืช สินค้าเกษตร และปศุสัตว์ 3. วางแผนเผชิญเหตุและเสนอแนวทาง ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทันท่วงที 4. ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานในพื้นที่ และ 5. สื่อสารสถานการณ์แก่เกษตรกรและประชาชนให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว
สำหรับ“War room ติดตามและแก้ไขสถานการณ์ด้านการเกษตร ชายแดนไทย-กัมพูชา”จะใช้ระบบ ข้อมูลเชิงพื้นที่ (GIS-Based Dashboard) เพื่อเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรหลักที่อยู่ในรัศมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีการตั้ง “ศูนย์ย่อยประสานงานจังหวัด” ในระดับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด เพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลภาคสนาม จากตำบล อำเภอ และประสานมาตรการเร่งด่วนในพื้นที่
นอกจากนี้ สั่งการให้กรมปศุสัตว์เร่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะ โดยมีการจัดส่งหญ้าแห้งและพืชอาหารสัตว์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมเตรียมจ่ายค่าเยียวยาตามระเบียบการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
“ได้ระดมกำลังจากสำนักงานปศุสัตว์ในจังหวัดชายแดนเพื่อส่งหญ้าแห้งและพืชอาหารสัตว์เข้าสนับสนุนในระยะเผชิญเหตุ เช่น สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์รายงานว่า พื้นที่อำเภอบ้านกรวดซึ่งเป็นแหล่งเลี้ยงโค-กระบือขนาดใหญ่ รวมกว่า 21,452 ตัว (โค 17,313 ตัว และกระบือ 4,139 ตัว) ได้รับผลกระทบจากลูกกระสุนปืนใหญ่ตกหลายจุด ตั้งแต่เวลา 09.30 น. ของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ได้แก่ บ้านสายโท 10 (ใต้) หมู่ 2 ตำบลสายตะกู 10 ลูก บ้านกรวด หมู่ 3 และหมู่ 5 ตำบลบ้านกรวด 7 ลูก และบ้านสายโท 12 (ใต้) หมู่ 16 ตำบลสายตะกูอีก 3 ลูก”
จากการตรวจสอบพบความเสียหายต่อบ้านเรือน 2 หลัง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย และสัตว์เลี้ยงตาย 5 ตัว ประกอบด้วยวัว 3 ตัวและไก่ 2 ตัว ซึ่งเป็นของนางโจทย์ คิดประโคน บ้านเลขที่ 130 หมู่ 5 บ้านกรวด ตำบลบ้านกรวด โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการฝังกลบซากสัตว์เรียบร้อย พร้อมให้คำแนะนำเกษตรกรเกี่ยวกับการขอรับการเยียวยาตามเกณฑ์ทางราชการ
“สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์ได้มอบหญ้าแห้งและพืชอาหารสัตว์รวม 700 ก้อนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น และจะเร่งประเมินความเสียหายเพื่อจ่ายค่าเยียวยาเกษตรกรตามระเบียบ โดยสำหรับโคอายุมากกว่า 2 ปี จะชดเชยตัวละ 35,000 บาท และลูกโคอายุ 6 เดือน – 1 ปี ตัวละ 22,000 บาท”
ด้านสถาบันการเงินต่างๆได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ เช่น ธนาคารออมสิน กำหนดมาตรการพักชำระเงินต้น จนถึงงวดเดือนธ.ค.2568 และให้จ่ายดอกเบี้ยเพียงบางส่วน เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย ,ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำ โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2568 เพื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกรในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR ของ ธ.ก.ส. เท่ากับ6.725% ต่อปี) ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ด้วยการ พัก ลด ขยาย เติม ให้ SME ไปต่อได้ แม้เจอวิกฤต โดยการ 1. พัก ชำระเงินต้น
2. ลด ค่างวดการชำระ 3. ขยาย ระยะเวลาการชำระหนี้ 4. เติม ทุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ระยะเวลา 3 ปี ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี 5. สินเชื่อ SME Refinance ลดต้นทุนธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น2.99% ต่อปี
ตัวอย่างความช่วยเหลือจากเหตุการณ์อันจะเป็นความทรงจำที่เลวร้ายของชาวไทยครั้งนี้ น่าจะพอเยียวยาผลกระทบด้านเศรษฐกิจได้บ้างแต่สิ่งที่ต้องทำโดยเร็วที่สุดคือ การหยุดเหตุการณ์ความรุนแรงนี้ให้เร็วที่สุดและต้องให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดหรือบุคคลใดก็ตาม







