พรมแดนระอุ-ดีลภาษีไม่มา เศรษฐกิจไทย ‘พัง’

นับถอยหลังสู่วันที่ 1 ส.ค. เส้นตายการเจรจาข้อตกลงภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐ กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องภาษี
ที่เป็นเดิมพันต่อภาพรวมประเทศ และเศรษฐกิจไทย ยังมีความรุนแรงที่ปะทุขึ้นตามแนว ‘ชายแดนไทย-กัมพูชา’ ที่กลายเป็นเงื่อนไขเร่งด่วนที่อาจทำให้ไทยหลุดจากโต๊ะเจรจาภาษีสหรัฐโดยสิ้นเชิง
ภายใต้แรงกดดันของทรัมป์ที่ประกาศชัดเจนว่า หากไทยและกัมพูชาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ภายในเวลาอันจำกัด สหรัฐจะไม่พิจารณาเปิดเจรจาลดภาษีนำเข้าให้กับไทย
เงื่อนไขนี้ ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ หากไทยไม่สามารถเจรจาลดภาษีสหรัฐตามเดดไลน์เวลา 1 ส.ค.ได้ทัน นั่นแปลว่าเราจะโดนภาษีสหรัฐ 36% ซึ่งกระทบอย่างมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจไทยที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤติสุดๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะภาคการส่งออก เสี่ยงต่อการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่ามกลางค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนฉุดให้เศรษฐกิจไทยเปราะบางมากขึ้นอย่างน่ากลัว
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือ ท่าทีของรัฐบาลไทยที่ยังดูคลุมเครือ ทั้งในมิติการทูต ความมั่นคง และเศรษฐกิจ ในขณะที่ฝ่ายเอกชนต่างเร่งหาทางปรับตัวเอง แต่กลับไร้ซึ่งแผนสำรองที่ชัดเจนจากภาครัฐ ความเสี่ยงจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องภาษี หากแต่ครอบคลุมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน สถานะการค้าระหว่างประเทศ และภาพลักษณ์ของไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก
คำถามสำคัญในเวลานี้คือ รัฐบาลไทยพร้อมแค่ไหนในการแก้เกมท่ามกลางแรงกดดันทั้งสองด้าน ทั้งจากมหาอำนาจอย่างสหรัฐ และประเทศติดชายแดนอย่าง ‘กัมพูชา’ ที่มีประวัติความขัดแย้งซับซ้อนเชิงประวัติศาสตร์ หากการหยุดยิงไม่เกิดขึ้นทันเวลา หากการเจรจาล้มเหลว ไทยอาจต้องเผชิญกับภาษีที่สูงขึ้นในตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้าอันดับต้นๆ ของประเทศ และนั่นหมายถึงการถอยหลังของเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่ไม่ควรถอยแม้แต่ก้าวเดียว
รัฐบาลจึงต้องตื่นจากความลังเลเสียที และหันมาใช้การทูตเชิงรุก ดึงกลไกความมั่นคงเข้าแก้ปัญหาชายแดนโดยไม่ให้ลุกลาม พร้อมแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในเวทีการเจรจาเศรษฐกิจ เพราะสิ่งที่เดิมพัน ไม่ใช่แค่ดีลการค้าระยะสั้น แต่คือทิศทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น จะไม่จำกัดอยู่ในห้องประชุม แต่จะลามไปถึงครัวเรือน แรงงาน และธุรกิจนับล้านรายที่รอการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดจากผู้นำของชาติ







