ธุรกิจไทยรื้อแผน 'กัมพูชา' ยกเลิกอีเวนต์-เพิ่มสต๊อก-จัดแผนฉุกเฉิน

ธุรกิจไทยรื้อแผน 'กัมพูชา'   ยกเลิกอีเวนต์-เพิ่มสต๊อก-จัดแผนฉุกเฉิน

‘ธุรกิจไทย’ หวั่นซ้ำรอยปลุกระดมทำลายธุรกิจในกัมพูชา สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ชี้ ผู้ประกอบการกำลังประเมินสถานการณ์ "ส.อ.ท." หวั่นกัมพูชาปลุกระดม “แบงก์” ชี้สาขาในกรุงพนมเปญ ยังเปิดแต่เฝ้าระวังใกล้ชิด อินเด็กซ์ ยกเลิกจัดงาน คาราบาว-ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ สต๊อกสินค้าตั้งแต่ปิดด่าน

KEY

POINTS

  • อินเด็กซ์ฯ ยกเลิกการจัดงานอีเวนต์ และเทรดแฟร์ในกัมพูชาสำหรับปี 2568 เช่น งาน Cambodia Helath&Beauty Expo และ Cambodia Architect&Expo
  • คาราบาว เพิ่มการสต๊อกสินค้าเพื่อรองรับการจำหน่ายในกัมพูชาเป็นเวลา 3 เดือน หรือ 120 ล้านกระป๋อง จากเดิมที่สต๊อกเพียง 40 ล้านกระป๋องต่อเดือน
  • กสิกรไทย-ไทยพาณิชย์ ได้จัดเตรียมแผนฉุกเฉินรองรับสถานการณ์ ทั้งในด้านบุคลากร ระบบปฏิบัติการ และการสื่อสาร เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
  • ภาคเอกชนแสดงความกังวลว่าสถานการณ์อาจซ้ำรอยเหตุการณ์ในอดีตที่มีการปลุกระดมทำร้ายทรัพย์สินของนักลงทุนไทย และกังวลว่าการขนส่งทางเรืออาจได้รับผลกระทบ
  • นักธุรกิจไทยในกัมพูชาต้องประเมินสถานการณ์เพื่อตัดสินใจว่าจะดำเนินธุรกิจต่อหรือเดินทางกลับประเทศไทย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก

 

 

สถานการณ์ชายแดน "ไทย-กัมพูชา" เกิดการปะทะกันตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 24 ก.ค.2568 เริ่มเปิดฉากยิงบริเวณตรงข้ามฐานหมูป่า ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ในเวลา 08.30 น.หลังจากนั้นมีเหตุปะทะ 6 พื้นที่ตลอดแนวชายแดน (ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก เขาพระวิหาร ช่องอานม้า ช่องจอม) ส่งผลให้มีประชาชนไทยเสียชีวิต

ขณะที่กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบิน F-16 ถล่มฐานยิงจรวดกัมพูชา รวมถึงทำลายกองบัญชาการกัมพูชา ทำลายกระเช้าทางขึ้นภูมะเขือ ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศแถลงลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา

สำหรับกัมพูชามีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน โดยไทยได้ประกาศปิดด่านชายแดนทั้งหมด ซึ่งในปี 2567 มีการค้าชายแดนรวม 174,530 ล้านบาท แบ่งเป็นส่งออก 141,847 ล้านบาท และนำเข้า 32,684 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติเฉพาะด่านศุลกากร 5 แห่ง คือ ด่านอรัญประเทศ (สระแก้ว) , ด่านคลองใหญ่ (ตราด) , ด่านจันทบุรี , ด่านช่องจอม (สุรินทร์) และด่านช่องสะงำ (ศรีสะเกษ)

ส่วนการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในกัมพูชา Council for the Development of Cambodia (CDC) รายงานว่ามีมูลค่าสะสมถึงปัจจุบัน มีมูลค่า 3,785 ล้านดอลลาร์ มีการจ้างแรงงานกัมพูชา 62,733 คน ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตร

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ และการปะทะกันบริเวณชายแดนที่รุนแรงขึ้นส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยปรับแผนธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ได้แนะนำให้คนไทยเดินทางกลับประเทศ

นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวว่า ขณะที่นักธุรกิจไทยในกัมพูชาต้องประเมินสถานการณ์ว่าควรกลับมาไทยหรืออยู่ต่อ ซึ่งขึ้นอยู่กับเจ้าของธุรกิจแต่ละราย อย่างไรก็ตาม อยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายหาทางเจรจาให้ยุติเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายเลวร้ายไปมากกว่านี้เพราะจะทำให้เกิดความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย และขอให้กลับมาสู่จุดเริ่มต้นก่อนที่จะเกิดปัญหา

“ที่ผ่านสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ได้มีการพูดคุยกับสมาชิกถึงการมาตรการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดการปะทะกันของทั้ง 2 ฝ่ายก็ต้องจับตาดูเรื่องความปลอดภัยของคนไทยที่ไปทำธุรกิจในกัมพูชา เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ การปะทะกันของ 2 ฝ่ายยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เศรษฐกิจการค้าชายแดนก็เสียหายเพิ่ม รวมถึงชีวิต และความปลอดภัยของประชาชนในชายแดน"

หวั่นเหตุการณ์ซ้ำรอยปลุกระดม

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาคเอกชนกังวลสถานการณ์ที่อาจซ้ำรอยเหตุการณ์ในอดีตที่มีการโฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมให้คนกัมพูชาออกมาทำร้ายทรัพย์สิน และผลประโยชน์ของนักลงทุนไทยในกัมพูชา ซึ่งครั้งนั้นกองทัพอากาศต้องส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับประเทศ และสร้างความเสียหายต่อนักลงทุนไทยมาก

ทั้งนี้ ส.อ.ท.ได้สอบถามนักลงทุนไทยยังไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากเหตุปะทะในโรงงานหรือการลงทุน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นขณะนี้จำกัดบริเวณชายแดน ซึ่งทำให้หลายคนกังวลว่าการขนส่งทางเรือก็อาจไม่สามารถดำเนินการได้ และคาดเดาเจตนากัมพูชาไม่ได้ เพราะสถานการณ์ที่ผ่านมามีการพัฒนา และขยายผลเป็นขั้นเป็นตอน และดูเหมือนไม่ต้องการเจรจา แต่ต้องการนำไปสู่การปะทะหรือสู้รบ

ผู้ประกอบการไทยรื้อแผนธุรกิจ

นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตั้งแต่ปิดด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา เดือนมิ.ย.2568 ทำให้บริษัทเลื่อนการจัดงานอีเวนต์ในกัมพูชา 

แต่จากสถานการณ์ล่าสุดต้องยกเลิกงานในปี 2568 สำหรับงานที่อินเด็กซ์ฯ จัดในกัมพูชา จะเป็นงานเทรดแฟร์ต่างๆ เช่น Cambodia Helath&Beauty Expo และ Cambodia Architect&Expo

นายร่มธรรม เสถียรธรรมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้สต๊อกสินค้ารองรับความต้องการผู้บริโภคในประเทศ รวมถึงขนส่งสินค้าตามปกติ

ทั้งนี้ คาราบาวทำธุรกิจในกัมพูชากว่า 20 ปี และลงทุนระดับพันล้านบาทสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มชูกำลัง คาดว่าจะเดินเครื่องปลายปี 2568 ซึ่งหลังจากมีการปิดด่านชายแดนต่างๆ ช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้สต๊อกสินค้าเพิ่มให้รองรับการจำหน่ายสินค้าราว 3 เดือน หรือ 120 ล้านกระป๋อง จากเดิมสต๊อกเพียง 40 ล้านกระป๋อง/เดือน

ขณะที่เครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดง ยังเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในกัมพูชา มียอดขายต่อปี 400-500 ล้านกระป๋อง หรือราว 2,000 ล้านบาท

นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และคาดหวังให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว และเป็นกำลังใจให้กับผู้รับผิดชอบทุกภาคส่วน รวมถึงทหาร

ธุรกิจไทยรื้อแผน 'กัมพูชา'   ยกเลิกอีเวนต์-เพิ่มสต๊อก-จัดแผนฉุกเฉิน

ขณะที่มาม่า ทำธุรกิจในประเทศกัมพูชามากว่า 20 ปี มีโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยกัมพูชาเป็นตลาดสำคัญอย่างมาก ส่งออกดีสุดในโลก และมาม่าเป็นผู้นำตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในกัมพูชา ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 80%

ธุรกิจสะเทือนตั้งแต่ปิดด่านการค้า

แหล่งข่าววงการธุรกิจ กล่าวว่า บริษัทมีฐานการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในกัมพูชา และเมื่อมีการปิดด่านการค้า กระทบยอดขายบริษัทตั้งแต่เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าราว 100 ล้านบาท และทำให้การส่งออกสินค้าเดือนมิ.ย. ชะลอตัว แต่บริษัททยอยส่งออกสินค้าในเดือนก.ค. แล้ว

ทั้งนี้ปัญหาไทย-กัมพูชา ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ แต่ผู้ประกอบการไม่ต้องการแสดงความเห็น เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ขององค์กร ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องกัดฟัน อดทน และยึดถือเป้าหมาย ผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะด้านความมั่นคงแห่งชาติ การดูแลอธิปไตย จึงไม่ต้องการเป็นภาระให้กับหน่วยงานรัฐ

“ธุรกิจได้รับผลกระทบตั้งแต่เดือนมิ.ย.แล้ว จากการค้าชายแดน จากการส่งออกที่ล่าช้ามากขึ้น 1 เดือน เอกชนรายใหญ่ไม่ใช่กระทบ แต่เลือกที่จะสนับสนุนให้ภาครัฐจัดการภาพรวม เพื่อให้ประเทศไปได้ คำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง”

“โออาร์” หวังความสัมพันธ์ดีขึ้น

แหล่งข่าวจากกลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า OR ได้เรียกพนักงานที่เป็นคนไทยให้เดินทางออกจากกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมาเพื่อความปลอดภัยในช่วงที่กัมพูชาประกาศไม่รับซื้อน้ำมันจากฝั่งไทยซึ่งจากเดิมที่มีไม่มากเพราะพนักงานส่วนใหญ่เป็นคนกัมพูชา และให้พนักงานกัมพูชาดูแลการดำเนินงานพร้อมทั้งประกาศกับบริษัทแม่ในประเทศไทย

"กัมพูชาถือเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ชิดกับไทย และมีศักยภาพในการขยายธุรกิจสูง ทำให้สามารถนำผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. เข้าไปทำตลาดได้ง่าย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี” แหล่งข่าวกล่าว

“ไทยพาณิชย์-กสิกรไทย” เตรียมแผนฉุกเฉิน

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวว่า ธนาคารติดตามสถานการณ์ในกัมพูชาอย่างใกล้ชิด และได้เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าในทุกด้าน ทั้งด้านความปลอดภัยของพนักงาน แผนสำรองการดำเนินธุรกิจ และการบริหารสภาพคล่อง

สำหรับบางสาขาฝั่งไทยใกล้แนวชายแดนได้พิจารณาปิดทำการชั่วคราวตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และความเสี่ยงในพื้นที่

ทั้งนี้ ล่าสุดวันที่ 24 ก.ค.2568 เหตุการณ์ยัง “จำกัด” อยู่เฉพาะบางจุดตามแนวชายแดน และยังไม่กระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานในเขตเมืองกัมพูชา แต่ธนาคารมีความห่วงใย และพร้อมดำเนินการอย่างเหมาะสมตามพัฒนาการของสถานการณ์

นายภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ในส่วนของธนาคารกสิกรไทย สาขากรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ยังคงเปิดให้บริการตามปกติอย่างเต็มรูปแบบ และยังไม่มีผลกระทบต่อการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ธนาคารติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และดำเนินการเฝ้าระวังรอบคอบ โดยสาขาได้ประสานงานสำนักงานใหญ่จัดเตรียมแผนบริหารความต่อเนื่องทุกมิติของการดำเนินงานทั้งเรื่องบุคลากร ระบบปฏิบัติการ และการสื่อสาร เพื่อให้บริการลูกค้าได้เต็มที่ทุกสถานการณ์

นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) กล่าวว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอน โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งไทยกัมพูชาอาจกระทบระยะสั้นเพราะไทย และกัมพูชา มีเขตแดน และระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพากันค่อนข้างมาก ส่วนผลกระทบระยะยาวมองว่า ยังไม่กระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางธุรกิจของธนาคาร

สามารถฯ พร้อมรับสถานการณ์

รายงานข่าวจาก บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งประกอบธุรกิจวิทยุการบินในประเทศกัมพูชา ภายใต้ บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV ระบุว่า บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจ และให้บริการได้ตามปกติ โดยสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตารางบินแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมมาตรการบริหารจัดการในกรณีฉุกเฉินไว้รองรับในทุกสถานการณ์ส่วนพนักงานที่เป็นคนไทยมีไม่มาก บริษัทยืนยันว่าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินพนักงานสามารถกลับประเทศไทยได้ทันที

ยกเลิกจองที่พักอำเภอชายแดน “สระแก้ว”

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าสั่งการให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดในพื้นที่รายงาน และดูแลช่วยเหลือให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักท่องเที่ยว

สำหรับจังหวัดสุรินทร์ จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (ศบก.จ.สร.) การอพยพประชาชน กรณีภัยทางอากาศจังหวัดสุรินทร์ ขึ้นที่ศูนย์ราชการจังหวัดสุรินทร์

“สำหรับสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวประกาศปิดปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ไม่มีนักท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอที่ติดชายแดน”

ด้านสระแก้ว พื้นที่อำเภอชายแดน ได้แก่ อรัญประเทศ ตาพระยา คลองหาด นักท่องเที่ยวลดลง ยกเลิกการจองที่พัก แต่พื้นที่อำเภออื่นๆ ไม่ได้รับผลกระทบ ยังจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยว และงานกิจกรรมกีฬาได้ตามปกติ 

หวั่นประเทศคู่แข่งได้ประโยชน์

นายชัย อรุณานนท์ชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อชายแดนไทยพอสมควร โดยเฉพาะการท่องเที่ยวชายแดน แต่เนื่องจากไม่ได้เป็นพื้นที่หลัก ยังมีแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคอื่นที่ไม่กระทบ

“หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น เกิดความสูญเสียมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น ย่อมส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และการค้าชายแดนหนักกว่าเดิมแน่นอน ผู้ประกอบการต่างกังวลอย่างมาก”

ทั้งนี้การปะทะกันที่รุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนในประเทศตื่นตระหนก ประกอบกับตอนนี้ก็มีสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดน่านด้วย อาจกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวของคนไทยในระยะสั้นได้

นายชัย กล่าวว่า หากปัญหาข้อพิพาทนี้มีความรุนแรงหรือลากยาว จะทำให้คู่แข่งด้านการท่องเที่ยวของไทยได้รับประโยชน์มากขึ้น ทั้งเวียดนาม ไต้หวัน มาเลเซีย รวมถึงจีน โดยองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ ได้อัดแพ็กเกจสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการบริษัททัวร์ เช่น การจัดทัวร์เข้าประเทศนั้นๆ หากทำยอดนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยรถบัสได้ถึง 20 คัน จะช่วยสนับสนุนงบประมาณ 30% จากต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศมากขึ้น

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์