“คลัง” เตรียม 3 นโยบาย เพิ่มขีดแข่งขัน SME อัดฉีดงบ-เร่งแก้หนี้-ปลดล็อกสินเชื่อ

“คลัง” เตรียม 3 นโยบาย เพิ่มขีดแข่งขัน SME อัดฉีดงบ-เร่งแก้หนี้-ปลดล็อกสินเชื่อ

“คลัง” เตรียม 3 นโยบายเพิ่มขีดแข่งขัน SME อัดฉีดงบ-เร่งแก้หนี้-ปลดล็อกสินเชื่อ ส่งเสริมกลไกให้ SME เติบโตอย่างยั่งยืน

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวในงาน “Thailand Smart SME 2025: Smart Solutions & Sustainable Growth” จัดโดยโพสต์ทูเดย์ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 ว่า การแข่งขันในโลกปัจจุบันเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) อยู่แล้ว และยังถูกซ้ำเติมด้วยสถานการณ์การค้าที่ไม่มีความแน่นอนและไร้กติกาที่ชัดเจน แม้การเจรจาทางการค้าจะดำเนินอยู่และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่การเปิดตลาดให้กับสหรัฐจะทำให้ประเทศไทยต้องกลับมาทำการบ้านภายในประเทศอย่างหนัก

โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่อาจเผชิญกับความยากลำบากและต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึง SME ในบางภาคส่วน ที่อาจได้รับผลกระทบจากการที่สินค้าจากสหรัฐทะลักเข้ามาในประเทศ

ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รัฐบาลได้เตรียม "กระสุน" หรือมาตรการช่วยเหลือไว้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

1.งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเงินเหลืออยู่กว่า 20,000 ล้านบาท ที่พร้อมใช้ในการเยียวยาผลกระทบ และจะมีเพิ่มอีก 25,000 ล้านบาท ในงบประมาณปี 2569 เริ่มจัดสรร 1 ต.ค.2568

2.สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ธนาคารออมสินจะส่งเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อให้สถาบันการเงินนำไปปล่อยสินเชื่อให้ SME ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ซึ่งเริ่มดำเนินการได้แล้ว

3.การค้ำประกันสินเชื่อโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้น ด้วยวงเงินพร้อมค้ำประกันประมาณ 50,000 ล้านบาท ผ่านโครงการ PGS 11

เดินหน้าตั้ง AMC พิเศษ แก้หนี้ครัวเรือน

นายลวรณ กล่าวว่า รัฐบาลรับทราบถึงปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SME ที่มักจะกู้ไม่ผ่าน เนื่องจากธนาคารมีความเข้มงวดในการประเมิน จึงกำลังจะมี แนวทางแก้ปัญหาใหม่เกี่ยวกับหนี้เสียและเครดิตบูโร โดยการตั้ง บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) พิเศษ ซึ่งอาจเป็น AMC ที่ธนาคารพาณิชย์ตั้งขึ้นเอง หรือใช้บริการของ ARI-AMC (AMC ของธนาคารออมสิน) สำหรับธนาคารขนาดเล็ก การดำเนินการนี้จะทำให้ภาระหนี้ของธนาคารลดลง ทำให้ธนาคารมีสภาพคล่องและพร้อมจะปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ง่ายขึ้น

"กลุ่มเป้าหมายคือและหนี้ครัวเรือนที่เป็นทั้งหนี้ธุรกิจและหนี้ส่วนบุคคล วงเงินขนาดไม่ใหญ่มาก โดยกำลังพิจารณารวมหนี้ของ Non-Bank ด้วย ซึ่งรายละเอียดจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้"

นอกจากนี้ จะมีการผ่อนปรนเกณฑ์เครดิตบูโร จากปัจจุบันที่ธนาคารมักพิจารณาประวัติเครดิตบูโรย้อนหลัง 36 เดือน แต่จะมีการพิจารณากำหนด กลุ่มลูกค้าพิเศษที่อาจใช้การจัดกลุ่มสีพิเศษ ซึ่งหมายถึงไม่ต้องรอครบ 36 เดือน อาจลดเหลือเพียง 6 หรือ 12 เดือน เพื่อให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้เร็วขึ้น โดยจะมีหลักเกณฑ์และกระบวนการดูแลจากธนาคารเจ้าของหนี้ นี่เป็นการต่อลมหายใจให้ SME ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ

บทบาทใหม่ของ SME D Bank สู่ Venture Capital

นายลวรณยัง กล่าวด้วยว่า สินเชื่ออาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับ SME เสมอไป สิ่งที่ SME ต้องการอาจมากกว่าแค่เงินทุน ดังนั้นจึงได้มีการมอบหมายบทบาทใหม่ให้กับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ในการขับเคลื่อนเรื่อง Venture Capital อย่างจริงจัง

โดย SME D Bank จะไม่ได้แค่ให้เงิน แต่จะลงเรือลำเดียวกันกับผู้ประกอบการ โดยจะเข้าไปเติมในส่วนของทุนพร้อมกับ องค์ความรู้และทำหน้าที่เป็น "พี่เลี้ยง" ที่คอยดูแลจนธุรกิจแข็งแรงและสามารถดำเนินไปได้ด้วยตัวเอง

“การเพิ่มบทบาทของ SME D Bank จะเพิ่มความรับผิดชอบร่วมกัน หากธุรกิจไม่รอด แบงก์ก็จะเสียหายด้วยเช่นกัน ดังนั้นแบงก์จะไม่ยอมให้ธุรกิจประสบความล้มเหลว ถือเป็นมิติใหม่ เครื่องมือใหม่ที่รัฐบาลจะเข้าไปดูแล SME”