‘เอกนัฏ’ ชง 5 นโยบาย พลิกเกมอุตสาหกรรมไทย เตรียมรับสินค้าท่วมตลาด

“เอกนัฏ” เสนอ 5 นโยบาย อุตสาหกรรมไทยพลิกเกมรับมือความท้าทาย มุ่งสร้างความแกร่งจากภายใน ปราบอุตฯ ศูนย์เหรียญ ขับเคลื่อนสู่การเติบโตยั่งยืน
KEY
POINTS
- "รมว.อุตฯ" เสนอ 5 นโยบายเร่งด่วนเพื่อรับมือปัญหาสินค้าล้นตลาดจากสงครามการค้า โดยเน้นการแก้ปัญหาภายในประเทศให้เข้มแข็ง
- ปราบปรามธุรกิจศูนย์เหรียญที่ทำลายอุตสาหกรรมไทย
- ลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) โดยปฏิรูปกฎระเบียบ และกระบวนการออกใบอนุญาตให้รวดเร็ว และโปร่งใส
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาในงาน “Thailand Smart SME 2025: Smart Solutions & Sustainable Growth” จัดโดยโพสต์ทูเดย์ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 ว่า วันนี้ไทยตกอยู่ในสถานะตั้งรับ และถูกกำหนดเงื่อนไขจากประเทศมหาอำนาจ ทั้งเรื่องการกำหนดเส้นตายภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกาในวันที่ 1 ส.ค.68 นี้ และการที่สหรัฐเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขว่าสินค้าประเภทใดจะถูกตีความว่าเป็นสินค้าผ่านทาง (transshipment)
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า Dump อาจจะน่ากลัวกว่า Trump หมายถึงสินค้าที่อาจไหลทะลักเข้ามาจากซัพพลายส่วนเกินที่เกิดขึ้น ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ดังนั้นการจัดการกับปัญหาภายในประเทศที่เร่งด่วนกว่า แทนที่จะมัวแต่คาดการณ์อัตราภาษีหรือมุ่งเจรจาเพียงอย่างเดียว
นายเอกนัฏ กล่าวว่า สิ่งที่เราควรทำคือ การจัดการปัญหาภายในประเทศ ทำให้ประเทศไทยแข็งแรง และมีความพร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง โดย 5 โจทย์หลักที่ไทยควรเร่งดำเนินการ ดังนี้
1. การปราบปรามอุตสาหกรรม และธุรกิจศูนย์เหรียญ กลุ่มธุรกิจที่เข้ามาแย่งพื้นที่ทำมาหากิน ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น เหล็ก พลาสติก และปิโตรเคมี ที่ผ่านมาไทยเปิดพื้นที่ให้อุตสาหกรรมเหล่านี้โดยเข้าใจผิดว่าการลงทุนมาผลิตในประเทศจะดีทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ ทั้งการนำเข้าวัตถุดิบมา
“ธุรกิจเหล่านี้มักไม่จ้างแรงงานท้องถิ่น และนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียมูลค่า คุณภาพ และปัญหาสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยจะหายไปด้วย”
ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรื้อโครงสร้างการกำหนดมาตรฐาน โดยเฉพาะมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สำหรับสินค้าสำคัญอย่างสายไฟ เหล็ก และยางล้อ รวมถึงจัดการธุรกิจรีไซเคิลที่ได้รับใบอนุญาตจำนวนมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแต่กลับลดต้นทุนด้วยการลดคุณภาพมาขายแข่งในประเทศ
“หากกลุ่มเหล่านี้ยังคงอยู่ ธุรกิจที่ดีของไทยก็อยู่ไม่ได้ ปัจจุบันมีการบูรณาการ การทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น DSI, กรมโรงงาน, กรมศุลกากร, และกรมสรรพสามิต เพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้”
2. มาตรการดูแลสินค้านำเข้าที่กำลังทะลักเข้ามาในประเทศ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน สินค้าที่เคยผลิตเพื่อส่งออกแต่ไม่สามารถส่งออกได้กำลังทะลักเข้ามาขายในประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย การนำเข้าต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม มีมาตรฐานไม่ใช่สินค้าเถื่อนโดยเฉพาะสินค้าที่ซื้อขายทางออนไลน์ ซึ่งมีช่องโหว่ทางกฎหมายทำให้ตรวจสอบผู้ขายได้ยาก
3. กระแสชาตินิยม และปลุกการบริโภคสินค้าในประเทศ ปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อส่งเสริมการบริโภคสินค้าไทย และผลักดันนโยบาย "Thai Gift Policy" โดยเสนอให้เปลี่ยนจากการมี "no gift policy" สำหรับข้าราชการ มาเป็นการสนับสนุนการซื้อของขวัญที่เป็นสินค้าไทยแทน พร้อมทั้งแนะนำให้หน่วยงานภาครัฐ เช่น กองทัพ หรือโรงพยาบาล เริ่มจัดซื้อสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยคนไทยมากขึ้น
4. การส่งเสริมความสามารถของคนไทย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ประเด็นนี้ครอบคลุมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Capability) การถ่ายทอดเทคโนโลยี การทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศ รวมถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การลงทุนที่เข้ามาควรต้องมีเงื่อนไขให้เกิดการลงทุนตรงกับคนไทย และธุรกิจไทยด้วย
ซึ่งที่ผ่านมา ยังได้มอบนโยบายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดทำมาตรการที่จูงใจนักลงทุน โดยการขยายพื้นที่ขายเพิ่มขึ้นจาก 1 หมื่นไร่เป็น 3 หมื่นไร่ แต่จะต้องกำหนดพื้นที่ให้กับ SME 5% ในพื้นที่นิคมฯ ด้วยเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อมของไทย
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการพัฒนาคนโดยให้มีศูนย์ฝึกอบรมหรือ Academy ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม โดยมีภาคเอกชนร่วมลงทุน เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน เช่น ทักษะด้าน Automation, Digital, และ AI
5. ลดอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) เป้าหมายคือ การสร้างระบบที่รวดเร็ว และสุจริต มีกติกาที่สะดวกรวดเร็วสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนและทำมาค้าขายในประเทศไทย กระบวนการออกใบอนุญาตที่ล่าช้าเป็นอุปสรรคสำคัญ แม้แต่ประเทศอย่างสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรมากนักก็สามารถขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายที่ส่งเสริมความรวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
“ความยุ่งยากไม่ได้ช่วยป้องกันการกระทำผิด และบ่อยครั้งธุรกิจผิดกฎหมายก็ยังมีใบอนุญาตอยู่ดี รัฐมนตรีฯ ยังยกตัวอย่างการกีดกันการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดต้นทุนพลังงาน ซึ่งเป็นตัวอย่างของกฎกติกาที่ล้าหลัง และต้องถูกยกเลิก”
นายเอกนัฏ กล่าวว่า หาก SMEs ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจตายลง เศรษฐกิจของประเทศก็ไปต่อไม่ได้ ดังนั้น นโยบายเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเซฟ SME ของประเทศไทย แต่ยังเป็นการเซฟเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย ทั้ง 2 เรื่องแยกออกกันไม่ได้"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







