บอร์ดกระตุ้นฯ โยก 4 หมื่นล้าน รับมือภาษีทรัมป์ ปัดตกคำของบ อปท.

“พิชัย” ชี้ที่ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ อนุมัติใช้งบฯรับมือภาษีทรัมป์ “ภูมิธรรม” หวังใช้งบฯหนุนจีดีพีให้โตได้ตามศักยภาพเศรษฐกิจ
KEY
POINTS
- “พิชัย” ชี้ที่ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ อนุมัติใช้งบฯรับมือภาษีทรัมป์
- “ภูมิธรรม” หวังใช้งบฯหนุนจีดีพีให้โตได้ตามศักยภาพเศรษฐกิจ
- ที่ประชุมฯไฟเขียวจัดสรรงบฯช่วยผู้ประกอบการ ใส่งบฯเข้ากองทุนเพิ่มขีดแข่งขัน 1 หมื่นล้าน จัดสรรเพิ่มให้ ก.ย.ศ.
- ปัดตกข้อเสนองบฯ อปท.ชี้อาจจัดซื้อจัดจ้างไม่ทัน และซ้ำซ้อนกับงบฯ69 ให้ใช้แหล่งงบฯอื่น
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานวันนี้ (24 ก.ค.) ว่าการจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เหลือจากวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาทนั้น หลักจะจัดสรรไปเพื่อรับมือกับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ซึ่งเรื่องของภาษีทรัมป์เป็นเรื่องส่วนใหญ่ที่ต้องใช้เงิน
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านายภูมิ กล่าวก่อนการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจว่าเศรษฐกิจไทยประสบปัญหาเรื่องการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าศักยภาพ และสัดส่วนการลงทุนของภาครัฐและเอกชนเมื่อเทียบ กับจีดีพีอยู่ในระดับต่ำทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน จึงจำเป็นต้องแก้ไข ปัญหาโดยเร่งด่วน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งได้อีกครั้ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้วงเงิน 157,000 ล้านบาท
โดยงบประมาณถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าในการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจในวันนี้ได้เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายพิชัย เป็นประธาน โดยจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่วงเงินประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาทจัดทำโครงการเพื่อรับมือผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ภาษีทรัมป์ โดยเน้นโครงการช่วยเหลือเอสเอ็มอี พยุงการจ้างงาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย นอกจากนั้นมีงบประมาณบางส่วนที่จัดสรรในโครงการเกี่ยวกับการเพิ่มทุนมนุษย์
โดยที่ประชุมเห็นชอบให้จัดสรรเงินให้กับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท และอีกส่วนจะจัดสรรเพิ่มให้กับกองทุนเพื่อกู้ยืมเพื่อการศึกษา (ก.ย.ศ.) ซึ่งในส่วนของ ก.ย.ศ.จะอนุมัติเม็ดเงินในส่วนนี้ให้กับนักเรียน นักศึกษาในภาคเรียนต่อไปทำให้เม็ดเงินลงกระจายลงไปได้รวดเร็ว
ส่วนกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯนั้นเงินทุนจะนำไปใช้ในการดึงดูดการลงทุน ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เพื่อปรับโครงสร้างการผลิตในประเทศ
สำหรับรายการงบประมาณที่ขอจากกระทรวงมหาดไทยเพื่อจัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นั้นที่ประชุมให้ความเห็นว่างบประมาณในส่วนนี้ไม่สามารถที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างได้ทันในวันที่ 30 ก.ย.2568 และอาจมีการซ้ำซ้อนกับงบประมาณในปี 2569 ที่จะเริ่มออกมาใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 2568 นี้ โดยให้กระทรวงมหาดไทยไปทบทวนโครงการและรอจัดสรรงบฯจากแหล่งงบประมาณอื่นต่อไป
โดยเฉพาะผลการเจรจาเรื่องภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ วันนี้ขอให้คณะกรรมการร่วมกันทบทวนและพิจารณาข้อเสนอโครงการตามมติที่ประชุมของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ และสอดคล้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เกิดประโยชน์เต็มที่ต่อระบบเศรษฐกิจบรรเทาผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุมฯ รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เรื่อง ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าการขอรับจัดสรรและผลการอนุมัติจัดสรรโครงการ/รายการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ซึ่งสามารถติดตามความก้าวหน้าของการจัดสรรงบประมาณโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.bb.go.th/peoplewatch/ ได้โดยตรง หรือเว็บไซต์สำนักงบประมาณ https://www.bb.go.th/
“นโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หลักการและแนวทางการทบทวนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องคำนึงถึงเหตุผลด้านเศรษฐกิจ การตรวจสอบ และให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้ผลกระทบ และการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อตอบโจทย์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในอนาคต” นางสาวศศิกานต์ กล่าว







