‘อัครา’ อัดงบป้อนเศรษฐกิจไทย 4.1 พันล้าน แง้มพบ 2 แหล่งแร่ใหม่ หนุนชุมชนโต

"อัครา” เดินเครื่องเต็มสูบ ป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยปีละกว่า 4.1 พันล้านบาท แจงข่าวดี พบแหล่งแร่ทองคำอีก 2 แห่ง หวังเข้าพื้นที่สร้างงานสร้างอาชีพ อัดเงินเข้าระบบเพิ่ม เผยตั้งแต่กลับมาเดินเครื่องจ่ายค่าภาคหลวงกว่า 1.5 พันล้านบาท
KEY
POINTS
- เมื่ออัคราเดินกำลังการผลิตอย่างเต็มรูปแบบ จะป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยมากถึง 4.1 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงค่าภาคหลวงแร่ประมาณ 1,158 ล้านบาทต่อปี สร้างรายได้แก่ชุมชนผ่านการจ้างงานและการสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศ 2,700 ล้านบาทต่อปี
- ตั้งแต่อัครากลับมาเปิดดำเนินการรอบใหม่นี้ เดือนมี.ค. 2566 จนถึงมิ.ย. 2568 ได้จ่ายค่าภาคหลวงไปแล้ว 1,535 ล้านบาท โดย 40% ของค่าภาคหลวงแร่จะถูกจัดสรรให้เป็นรายได้รัฐอีก 50% ถูกจัดสรรให้แก่ชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินการทำเหมือง
- ในช่วงพีค ประเทศไทยสามารถผลิตทองคำได้ประมาณ 5 ตันต่อวัน ถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับความต้องการทองคำในประเทศ โดยช่วงโควิดไทยนำเข้าทองคำถึง 300 ตัน ดังนั้นการมีทองคำเพียง 5 ตัน ทำให้การตั้งโรงถลุงเพื่อผลิตทองคำเองอาจไม่คุ้มค่าในทางเศรษฐศาสตร์
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่ออัคราเดินกำลังการผลิตอย่างเต็มรูปแบบ บริษัทจะป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยมากถึง 4.1 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงค่าภาคหลวงแร่ประมาณ 1,158 ล้านบาทต่อปี สร้างรายได้แก่ชุมชนผ่านการจ้างงานและการสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศ 2,700 ล้านบาทต่อปี และจัดสรรเงินเข้ากองทุนต่าง ๆ เพื่อประโยชน์แก่ชุมชน อีกกว่า 243 ล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่อัครากลับมาเปิดดำเนินการรอบใหม่นี้ นับตั้งแต่มี.ค. 2566 จนถึงมิ.ย. 2568 ได้จ่ายค่าภาคหลวงไปแล้ว 1,535 ล้านบาท โดย 40% ของค่าภาคหลวงแร่จะถูกจัดสรรให้เป็นรายได้รัฐอีก 50% ถูกจัดสรรให้แก่ชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินการทำเหมือง โดยแบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% องค์การบริหารส่วนตำบลที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20%
และองค์การบริหารส่วนตำบลภายในจังหวัดอีก 10% และส่วนสุดท้ายอีก 10% ที่เหลือจะถูกจัดสรรให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ ทั้งนี้ ได้ช่วยเสริมศักยภาพขององค์กรท้องถิ่นในการดูแลประชาชนได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดงานและโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่จำนวนมาก
นอกจากนี้ อัครายังจ่ายเงินบำรุงพิเศษ 5% โดยคำนวณจากค่าภาคหลวงแร่ ให้กับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ไปแล้วกว่า 76 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาวิจัยด้านแร่ ปรับสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแล้ว
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า อัคราได้มีการจัดสรรเข้ากองทุนจำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่, กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่, กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ และกองทุนประกันความเสี่ยง ซึ่งบริษัทต้องนำเงินเข้ากองทุนในอัตรา 21% ของค่าภาคหลวงแร่ และต้องไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาทต่อปี
โดยในปี 2568 อัคราได้จัดสรรเงินเข้ากองทุนเหล่านี้ไปแล้วกว่า 132 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้มาก และหากนับรวมตั้งแต่กลับมาเปิดดำเนินการจนถึงปัจจุบัน อัคราได้จัดสรรเงินเข้ากองทุนทั้งสิ้นกว่า 322 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงพีค ประเทศไทยสามารถผลิตทองคำได้ประมาณ 5 ตันต่อวัน ซึ่งถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับความต้องการทองคำในประเทศ เช่น ในช่วงโควิด ประเทศไทยนำเข้าทองคำถึง 300 ตัน ดังนั้น การมีทองคำเพียง 5 ตัน ทำให้การตั้งโรงถลุงเพื่อผลิตทองคำเองอาจไม่คุ้มค่าในทางเศรษฐศาสตร์
สำหรับข้อดีของการใช้ทองคำที่ผลิตในไทย จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เมื่อมีสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) มากกว่า 40% โดยบริษัทได้รับประทานบัตรสำหรับ “โครงการชาตรีเหนือ” ซึ่งทำให้มีสินแร่เพิ่มขึ้น จึงเพิ่มกำลังการผลิต โดยขยายโรงประกอบโลหกรรม ให้มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 5 ล้านตันต่อปี ดังนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ประเทศไทยผลิตได้เพียง 5 ล้านตันต่อปี หากผลิตได้ถึง 50 ตันต่อปี จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
ทั้งนี้ ปัจจุบันแหล่งแร่ทองคำในไทยยังคงมีความสมบูรณ์ และจะสามารถดำเนินการผลิตได้อีกประมาณ 10 ปี โดยในพื้นที่ภาคตะวันออก บริษัทได้มีการสำรวจมาแล้ว 5 ปี และมีโอกาสที่จะพบแหล่งแร่ทองคำเพิ่มอีก 2 แห่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเข้าดำเนินการได้ทันที จำเป็นต้องตรวจสอบสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดิน และความพร้อมของเจ้าของที่ดินในการให้เข้าพื้นที่
อีกทั้ง บางพื้นที่อยู่ในเขต ส.ป.ก. ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้ จึงต้องคืนพื้นที่ไป หากจะดำเนินการได้ ต้องเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปการสำรวจพบแหล่งแร่ทองคำขนาดใหญ่อาจใช้เวลาถึง 10 ปี แต่แหล่งแร่ในประเทศไทยมีศักยภาพสูง
สำหรับความท้าทายและข้อเสนอแนะด้านนโยบาย เพราะการทำเหมืองแร่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชุมชน ดังนั้น รัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนการทำเหมืองแร่ หากต้องการให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ส่วนผู้ประกอบการเองพร้อมปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ต้องการให้มีการลดขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินการบางอย่าง รวมถึงมีนโยบายที่ชัดเจนในการผลิตทองคำเพื่อเศรษฐกิจประเทศ
นอกจากนี้ ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่จะเป็นป่าเสื่อมโทรม ไม่ใช่พื้นที่ป่าสมบูรณ์ที่ห้ามตัดต้นไม้ หรือเกี่ยวข้องกับลำคลอง รวมถึงปัญหาเรื่องที่ดินที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย และบางพื้นที่เป็นทางสาธารณะที่ไม่ได้กระทบต่อใคร โดยแหล่งแร่ทองคำที่มีศักยภาพ มักจะอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย เช่น เพชรบูรณ์ พิจิตร ลพบุรี สระบุรี เป็นต้น ที่มีหินภูเขาไฟซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแร่ทองคำ
“หากได้สิทธิในการเข้าพื้นที่เพื่อลงทุนนั้น จะช่วยให้เศรษฐกิจชุมชนดีขึ้น อาทิ การจ้างงาน เครื่องมือ พลังงาน และปัจจัยการผลิตทั้งหมด ซึ่งหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ปัจจุบันเหมืองมีการจ่ายค่าไฟราว 20-30 ล้านบาทต่อเดือน โดยการลงทุนจะเริ่มตั้งแต่การซื้อที่ดินราว 500-600 ล้านบาท ค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท, ค่าใบอนุญาตพิเศษอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท เป็นต้น”







