ชนินทร์ แนะโอกาสสู้ภาษีทรัมป์ ชี้เกษตร-อาหาร ไทยโตหลายเท่าตัว

“ชนินทร์” เสนอวิสัยทัศน์ใหญ่ ดันไทยเป็น Bio Hub โลก เพิ่มส่งออกเกษตร-อาหารแตะ 4 ล้านล้านใน 7 ปีเร่งลงทุน R&D – ปรับนโยบายรัฐ – เปิดเสรีวัตถุดิบ
KEY
POINTS
- “ชนินทร์” เสนอวิสัยทัศน์ใหญ่ฝ่าภาษีทรัมป์ ดันไทยเป็น Bio Hub โลก
- เพิ่มส่งออกเกษตร-อาหารแตะ 4 ล้านล้านใน 7 ปี
- แนะเร่งลงทุน R&D – ปรับนโยบายรัฐ – เปิดเสรีวัตถุดิบ
- ดันไทยเป็น “สวนอาหารของโลก” รับดีมานด์จากประชากร 8 พันล้านและสัตว์เลี้ยง 2 พันล้านตัว
ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ และการค้าทั่วโลกจะทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่ กระทบต่อประเทศผู้ส่งออกที่มีตลาดหลักในสหรัฐ อย่างไรก็ตามในอีกแง่หนึ่งยังมีภาคเอกชนที่มองเห็นโอกาสจากวิกฤติในครั้งนี้คือโอกาสในอุตสาหกรรมอาหารและภาคเกษตรที่ถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทย
ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ กรรมการนายทะเบียน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการธุรกิจประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กล่าวว่าสินค้าเกษตร และอาหารถือเป็นสินค้าที่สำคัญของประเทศไทยมาโดยตลอดในปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศไทยยังสามารถส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารทั่วโลกได้ราว 1 ล้านล้านบาท และในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ตัวเลขขยับขึ้นแตะ 2 ล้านล้านบาท เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความสามารถในการแข่งขันของไทย
ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ: วิจัย-นวัตกรรม-นโยบาย
นายชนินทร์ระบุว่า หากประเทศไทยต้องการก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางอาหารของโลกอย่างยั่งยืน” รัฐบาลต้องลงทุนจริงจังใน การวิจัยและพัฒนา (R&D) และ นวัตกรรม (Innovation) ทั้งนี้เสนอว่ารัฐบาลควรมีการจัดสรรงบประมาณปีละ 30,000–50,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มผลิตภาพและแก้ปัญหาสำคัญ โดยไทยควรวางเป้าหมายของประเทศในการเป็น “ศูนย์กลางไบโอโลจีของโลก” หรือ Bio Hub โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอาหาร ด้วยการพัฒนา Biotechnology และ Bioscience เพื่อต่อยอดการผลิต Bio Fertilizer, Bio Feed และ Bio Food รองรับตลาดโลกที่มีความต้องการสูงขึ้น
“ถ้าเราวางนโยบายดี ลงทุนกับ R&D อย่างจริงจัง พร้อมเปิดเสรีวัตถุดิบ และเสริมสร้าง SME ในห่วงโซ่อุปทาน ไทยสามารถเป็น ‘สวนอาหาร’ ของโลกได้จริง” นายชนินทร์ กล่าว
อย่างไรก็ตามในการวิจัยภาคเกษตรและอาหารประเทศไทยยังต้องการงบประมาณเพิ่มเติม โดยในกรณีเร่งด่วนคือการแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ซึ่งทำให้ผลผลิตลดลงจาก 500,000 ตัน เหลือเพียง 250,000 ตันในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ล่าสุดกรมประมงได้วิจัยแนวทางแก้ไขเสร็จแล้ว แต่ยังขาดงบประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการดำเนินการ นอกจากนี้ ยังมี โรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) ในปศุสัตว์ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างยั่งยืน
ความสำเร็จ: อาหารสัตว์เลี้ยงไทยโตพรวด
นายชนินทร์ยังชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จในตลาด อาหารสัตว์เลี้ยง คือบทพิสูจน์ของการลงทุนใน R&D ที่แท้จริง โดยไทยเคยส่งออกเพียง 3,000 ล้านบาทเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็น ผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ด้วยมูลค่ากว่า 150,000 ล้านบาท และตั้งเป้าแตะ 300,000 ล้านบาทภายใน 7-10 ปี
ทั้งนี้จากแนวโน้มประชากรโลกที่พุ่งแตะ 8,000 ล้านคน และสัตว์เลี้ยงกว่า 2,000 ล้านตัว ซึ่งสัตว์เลี้ยงนั้น “กินแพงกว่าคน” ซึ่งนี่คือโอกาสสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมอาหารไทย หากมีการวางยุทธศาสตร์อย่างถูกต้อง เพราะไทยไม่เพียงแต่เป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ ไทยยังเป็น ประเทศที่ได้ดุลการค้าด้านอาหารกับทุกประเทศในโลก ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น ที่ล้วนเป็น “Net Importer of Food” นี่คือข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ที่ควรถูกต่อยอดด้วยนโยบายสาธารณะที่เอื้อต่อการเติบโต
ชี้เปิดเสรีวัตถุดิบคือหัวใจ – ขจัดปัญหาสวมสิทธิ์
สำหรับสถานการณ์ของการค้าโลกในปัจจุบัน นายชนินทร์มองว่าการเปิดเสรีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ จะช่วยให้โรงงานไทยมีต้นทุนที่แข่งขันได้มากขึ้น และยังสามารถเฉลี่ยราคากับวัตถุดิบในประเทศที่แพงขึ้น ขณะเดียวกัน เขายังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ ขจัดปัญหาการสวมสิทธิ์ ที่ส่งผลกระทบต่อ SME ไทย และบิดเบือนตัวเลขส่งออก โดยระบุว่าในการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ
ขณะนี้ หอการค้ากำลังทำงานร่วมกับ กระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าต่างประเทศ และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อกำหนด Local Content อย่างเป็นรูปธรรม







