โจทย์ใหญ่‘วิทัย รัตนากร’แบงก์ชาติยุคเปลี่ยนผ่าน 

โจทย์ใหญ่‘วิทัย รัตนากร’แบงก์ชาติยุคเปลี่ยนผ่าน 

หลังจากคลุมเครือมาร่วมเดือนสำหรับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)​ คนใหม่ที่มาแทน ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งจะครบวาระในสิ้นเดือนก.ย.นี้ ล่าสุด คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน มาดำรงตำแหน่ง “ผู้ว่าการธปท.” เป็นที่เรียบร้อย

    โดยชื่อนี้การันตรีคุณภาพคับแก้วอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองไม่เฉพาะแค่คนในแวดวงเศรษฐกิจการเงินในประเทศเท่านั้น แม้แต่นักลงทุนต่างชาติก็ติดตามเรื่องนี้ใกล้ชิดเช่นกัน โดยเฉพาะ “วิสัยทัศน์” และ “ความเป็นอิสระ” ในการทำนโยบายการเงินที่ปลอดพ้นจากภาคการเมือง
    ในฐานะสื่อมวลชนที่ติดตามการทำงานของ “วิทัย” ตั้งแต่สมัยนั่งเป็น เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) ต่อเนื่องถึง ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน  อะไรที่ “วิทัย” เห็นว่าทำแล้วไม่เป็นผลดีต่อองค์กร แม้จะเป็นคำสั่งจากฝั่งการเมือง แต่เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ นี่คือความเป็นมืออาชีพ ...น้อยคนที่จะรู้เรื่องราวเหล่านี้ ดังนั้นสิ่งที่ “วิทัย” ต้องทำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับ “ผู้ร่วมตลาด” ที่ยังแอบกังวลลึกๆ ถึงบทบาทหน้าที่ใหม่ของเขาในฐานะผู้ว่าการธปท. คือ การโชว์ให้เห็นความเป็น ”มืออาชีพ“ และ ”ความซื่อตรง“ ต่อหน้าที่การงาน

    "วิทัย" เคยโชว์วิสัยทัศน์ช่วงลงสมัครรับเลือกเป็นผู้ว่าการธปท. โดยย้ำว่า ธปท. แม้ต้องรักษาความเป็นอิสระ แต่ต้องเป็นความ "อิสระที่ไม่โดดเดี่ยว" ต้องทำงานประสานกับหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงการคลัง ธนาคารพาณิชย์ หรือแม้แต่หน่วยงานเศรษฐกิจอื่นๆ อย่าง BOI เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ดังนั้นสิ่งท้าทายของ “วิทัย” ในฐานะผู้ว่าการธปท. คือ การยืนอยู่ในจุดที่ “เป็นกลางโดยสมบูรณ์” เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินทั้งระบบ
    อีกผลงานที่โดดเด่นของ ”วิทัย“ ในฐานะผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คือ การพาธนาคารออมสินเดินสู่การเป็น ”ธนาคารเพื่อสังคม" ซึ่งไม่ได้มุ่งหวัง "ผลกำไร" เป็นเป้าหมายหลัก แต่เน้นสร้างระบบการเงินที่เข้าถึง เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะกลุ่มคนฐานราก คนตัวเล็ก และผู้เปราะบางในระบบเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังต้องทำให้ "ออมสิน" มีกำไรเพื่อเลี้ยงดูตัวเองในระยะยาวอย่างยั่งยืน แถมยังแบ่งกำไรส่วนหนึ่งส่งให้กับภาครัฐได้ด้วย 

    อย่างไรก็ตาม ดูเป็นการ “ยาก(มาก)” ที่จะนำแนวคิด “ธนาคารเพื่อสังคม” มาใช้กับ ธปท. เพื่อดูแลธนาคารพาณิชย์ เพราะเป้าหมายต่างกันโดยชัดเจน ธนาคารรัฐมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะช่วยเหลือคนตัวเล็กจึงยอมรับกำไรที่น้อยลงได้ แต่กับธนาคารพาณิชย์แล้ว เป้าหมายหลักคือผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น จึงเน้นรักษากำไรและแข่งขันได้ในตลาดทุน ...เราเห็นด้วยว่าท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองใกล้เคียงวิกฤติ ธนาคารพาณิชย์ควรต้องมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่าปัจจุบัน ลดกำไรลงเล็กน้อยเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ เราหวังว่าภารกิจของผู้ว่าการคนใหม่จะทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ โดยไม่สร้างผลข้างเคียงต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว ดูแล้วเป็นโจทย์ที่ยากเหมือนกัน!