เทียบแนวคิดเศรษฐกิจ ทักษิณ-ธนาธร ปรับงบประมาณ ลงทุนเมกะโปรเจกต์

เทียบแนวคิดเศรษฐกิจ ทักษิณ-ธนาธร ปรับงบประมาณ ลงทุนเมกะโปรเจกต์

เปิดมุมมอง 2 ผู้นำความคิดการเมือง ผ่านมุมมองเศรษฐกิจ ทักษิณ - ธนาธร ชี้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพมานาน แนะรื้อวิธีงบประมาณแก้โจทย์ประเทศ ดันลงทุนโครงการใหม่

KEY

POINTS

  • ทักษิณและธนาธรเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ช้าลงและต่ำกว่าศักยภาพ
  • เสนอแนวทางการปฏิรูปงบประมาณที่แตกต่างกัน โดยทักษิณเน้นการปฏิรูประบบราชการและใช้งบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Based Budgeting) ขณะที่ธนาธรมุ่งจัดสรรงบใหม่เพื่อเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชน
  • สนับสนุนการลงทุนเมกะโปรเจกต์ แต่มีแนวทางต่างกัน: ทักษิณเน้นให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในโครงการขนาดใหญ่เช่นการถมทะเล ส่วนธนาธรเสนอให้รัฐลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโดยตรง เช่น โรงกำจัดขยะและน้ำประปาดื่มได้

ถือได้ว่าเป็นผู้นำทางความคิดที่น่าจับตาทั้งด้านการเมือง และด้านเศรษฐกิจ สำหรับ 2 คน จาก 2 ขั้ว พรรคการเมือง สำหรับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี กับอีกคนคือ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ในเดือนนี้มีกำหนดที่ขึ้นเวทีสาธารณะแสดงวิสัยทัศน์ ตอบคำถามสื่อมวลชนในหลายประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม

 

โดยทักษิณนั้นขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย..สู่อนาคต (Unlocking Thailand’s Future) จัดโดย อสมท. เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ส่วน ธนาธร ขึ้นเวที 55 ปี NATION :ผ่าทางตันประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา

ประเด็นทางการเมืองนั้นมีสื่อติดตามและนำเสนอไปมากพอสมควรแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้ง 2 คนพูดบนเวทีสาธารณะก็คือ ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจรวมทั้งแนวคิดสร้างการลงทุนใหม่ๆเพื่อเพิ่มโอกาสในการเตรียมความพร้อม และเพิ่มโอกาสในการเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

ซึ่งแนวคิดในเรื่องเศรษฐกิจของทักษิณ และธนาธร มีทั้งจุดที่เหมือนและต่างกันดังนี้

1.เศรษฐกิจไทยมีอัตราเติบโตที่น้อยลง ทั้งทักษิณ และธนาธร พูดถึงปัญหานี้ตรงกัน โดยทักษิณระบุถึงปัญหานี้ว่าเศรษฐกิจไทยเมื่อวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยนั้นโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น 22 – 75% โดยสมมุติว่าจีดีพีของเรา 50% เท่ากับ 600 พันล้านดอลลาร์ เราก็ควรจะเพิ่มขึ้นเป็น 900 พันล้านดอลลาร์ เราโตต่ำกว่าศักยภาพ ทำให้เราไม่ถึงกลุ่มประเทศ G 20 จึงตกมาอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก

 

ส่วนธนาธรกล่าวถึงปัญหานี้ว่าการเติบโตของ เศรษฐกิจไทย ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาขยายตัวน้อยลงเรื่อยๆ โดยการเติบโตของ น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง จากช่วงทศวรรษ 2530: เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี มาถึงช่วงทศวรรษ 2540: GDP ลดลงเหลือเฉลี่ย 5.3% ต่อปี ทศวรรษ  2550 GDP  ลดลงเหลือเฉลี่ย 3.2% ต่อปี มาถึงทศวรรษปัจจุบัน (หลังปี 2560) GDP ของประเทศเติบโตเฉลี่ยเพียง 2% ต่อปี

โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำแบบนี้ ไม่ใช่วิกฤตที่เกิดขึ้นแล้วฟื้นตัว แต่มันคือการที่เศรษฐกิจของประเทศเราเติบโตช้าลงเรื่อยๆ ตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยลดลงเรื่อยๆ

2.การจัดสรรงบประมาณ และการใช้งบประมาณภาครัฐแบบเดิมไม่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ อดีตนายกฯทักษิณ พูดถึงเรื่องนี้ว่าวันนี้ส่วนราชการใหญ่ขึ้น จำนวนข้าราชการมีมากขึ้น และการบริการแย่ลง ต้องมาแก้ไขระบบราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และถ้าจะปรับโครงสร้างระบบราชการทุกกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นองค์กร ระเบียบกฎหมาย และงบประมาณ อาจจะขอให้มหาวิทยาลัยรับไปดูแลในแต่ละกระทรวง เพื่อทำแผน และนำเสนอให้กับรัฐบาลเพื่อเห็นแนวทางในการปรับปรุงการบริหารของระบบราชการ ต้องพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายภาครัฐลง เพราะวันนี้ค่าใช้จ่ายภาครัฐสูงมาก สูงจนไม่มีเงินจะบริหาร วันนี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน เช่น งบประมาณด้านสาธารณสุข เขาชี้ว่า โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ควรจัดทำงบประมาณแบบ “Zero-Based Budgeting” โดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายจริงต่อหัว เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากกว่าการเพิ่มงบโดยไม่ทบทวน เช่าเดียวกับงบประมาณด้าน กลาโหม และกองทัพ ที่อดีตนายกฯทักษิณ ย้ำว่าควรมีการปรับลดและเปลี่ยนแปลงยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัย รับมือยุคสงครามไซเบอร์

ส่วนในมุมมองของธนาธรนั้นบอกว่าในทางเศรษฐกิจรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณรูปแบบใหม่  โดยการเปลี่ยนแปลงการจัดสรรงบประมาณต้องมุ่งไปที่ 2 เป้าหมายหลักควบคู่กันทั้ง สร้างความมั่นคงในชีวิตให้ประชาชน โดยลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นลง แล้วนำมาเพิ่มสวัสดิการ เพื่อให้คน "กล้าเสี่ยง" (Take Risk) กล้าคิด กล้าเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างนวัตกรรมของประเทศต้องใช้เจตจำนงทางการเมือง (Political Will) ที่แน่วแน่ของฝ่ายบริหารที่จะผลักดันให้ทรัพยากรของประเทศไปในทิศทางที่ถูกต้อง ให้สามารถปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ เพราะหากจัดสรรเหมือนเดิมจะไม่สามารถแก้ไขปัญหา วิกฤติของประเทศได้

 

3.แนวคิดเรื่องการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือ "เมกะโปรเจกต์" ทั้งสองคนนั้นมีแนวความคิดสนับสนุนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ทั้งสองคน แต่แหล่งเงินในการลงทุน และประเภทโครงการที่มีการพูดถึงนั้นมีความแตกต่างกัน โดยในส่วนของทักษิณนั้นส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน  ในรูปแบบร่วมลงทุนในโครงการของรัฐ (PPP) โดยรัฐบาลอำนวยความสะดวกด้านกฎหมาย เช่น การผลักดันการแก้ไขกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ ที่ให้เอกชนเช่าที่ดินได้ในระยะยาว 99 ปี จากเดิมที่กฎหมายที่ให้ต่างชาติใเช่าที่ดินได้ไม่เกิน 30 ปี โดยโครงการที่อดีตนายกฯทักษิณพูดถึงได้แก่ โครงการถมทะเล ป้องกันน้ำท่วม และเพิ่มการลงทุนในที่ดินใหม่ นอกจากนั้นยังมีโครงการโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ 1.4 หมื่นเมกะวัตต์บนที่ดินของ สปก. และโครงการขยายท่าอากาศยานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ในต่างจังหวัด

ขณะที่โครงการเมกะโปรเจกต์ที่นำเสนอโดยธนาธร นั้นเป็นโครงการที่เน้นเกี่ยวกับสาธารณูปโภคพื้นฐานที่รัฐบาลเป็นผู้ลงทุน จำนวน 3 โครงการ ใช้การลงทุนโดยงบประมาณวงเงินรวม 6.8 แสนล้านบาท ได้แก่ โครงการ การลงทุนในเรื่องโรงงานกำจัดขยะที่ได้มาตรฐานทั่วประเทศไทย ใช้เงินลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาทในระยะเวลา 8 ปี การลงทุนเพื่อสร้างระบบน้ำประปาดื่มได้ ใช้วงเงินงบประมาณรวม 8 หมื่นล้านบาท โดยใช้ระยะเวลา 8 ปี และโครงการสมาร์ทกริดหรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะจะมีการลงทุนกว่า 5 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลา 12 – 20 ปี

โดยการลงทุนในโครงการต่างๆที่ธนาธรพูดถึงมาพร้อมแนวคิดในการสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศไปในตัวด้วย เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้ซัพพลายเชน เพิ่มการผลิตอุตสาหกรรม และการจ้างงานในประเทศไทย

จะเห็นได้ว่าผู้นำความคิดทางการเมืองทั้ง 2 คน ได้ฉายภาพปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ และแนวนโยบายที่ควรจะเป็นสำหรับประเทศไทยในอนาคต เชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเห็นแนวคิดทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะนำเสนอในรูปแบบนโยบายของพรรคการเมืองทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจอีกครั้ง