“รายย่อย”เข้าไม่ถึง“เศรษฐกิจสีน้ำเงิน” มูลค่าหลายพันล้านนำโดย“ท่องเที่ยว”

“รายย่อย”เข้าไม่ถึง“เศรษฐกิจสีน้ำเงิน”   มูลค่าหลายพันล้านนำโดย“ท่องเที่ยว”

เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) คือ แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน

สำหรับในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากรประมาณ 70.27 ล้านคน ณ ปี พ.ศ. 2567 และมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการเติบโตของจีดีพี ในระดับ  1.9% ในปี 2566  ระดับ 2.8% ในปี 2567  โดยมีภาคการผลิตยังคงเป็นภาคที่ใหญ่ที่สุด สร้างรายได้ 4.4 ล้านล้านบาท สัดส่วน 25% ของจีดีพี ขณะที่การค้าส่งและค้าปลีกสร้างรายได้ 2.8 ล้านล้านบาท  หรือ 16%ของจีดีพี 

รายงาน Innovative Blue Financing for Integrated Seascape Management in Thailand เผยแพร่โดย ธนาคารโลก (เวิล์ดแบงค์) ระบุว่า  เศรษฐกิจสีน้ำเงิน กำลังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ เช่น 

การท่องเที่ยวชายฝั่งและทางทะเล การประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การจัดการขยะ ท่าเรือ การขนส่ง และการฟื้นฟูระบบนิเวศ คิดเป็นสัดส่วนรวมกันประมาณ 30% ของจีดีพี

“ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยมีทรัพยากรทางทะเลจำนวนมาก ทำให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 420,280 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมแนวชายฝั่ง เช่น อ่าวไทย ชายฝั่งทะเลอันดามัน และทางตอนเหนือของช่องแคบมะละกา”

ด้วยแนวชายฝั่งที่ทอดยาว 3,148 กิโลเมตร ครอบคลุม 23 จังหวัด ประเทศไทยจึงมีศักยภาพที่สำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมทางทะเลอย่างยังยืน รวมถึงการประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การท่องเที่ยว และการอนุรักษ์ทางทะเล

     อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยทั้งยังต้องเผชิญทั้งการสร้างความตระหนักรู้ถึงศักยภาพเหล่านี้และยังต้องฟันฝ่ากับความท้าทายต่างๆ ซึ่งประเทศไทยได้บูรณาการหลักการเศรษฐกิจสีน้ำเงินเข้ากับยุทธศาสตร์ระดับชาติที่สำคัญ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579)และแผนแม่บทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ศ. 2558-2593) หรือแม้แต่แนวทางการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งภายใต้กรอบเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ในจังหวัดตราด โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)

กติกาต่างๆที่ประเทศไทยทำขึ้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานที่องค์การสหประชาชาติที่ประกาศใช้ใน 3 ภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจสีน้ำเงินของประเทศไทย ได้แก่ การท่องเที่ยวชายฝั่งและทางทะเล ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งและความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลทำให้การท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 12% ของจีดีพีประเทศ  โดยแนวทางปฏิบัติด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้รับการให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น หลังจากประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวลง 20% ภายในปี พ.ศ. 2573

ความยืดหยุ่นของชายฝั่งประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำท่วมและการกัดเซาะชายฝั่ง ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แนวชายฝั่งของไทยมากถึง 30% ประสบปัญหาการกัดเซาะ ส่งผลให้สูญเสียพื้นที่ 126.4 ล้านตารางเมตร และความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์

“กรุงเทพมหานครและอ่าวไทยตอนบนยังคงมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เป็นพิเศษ เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ ประเทศไทยได้ดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการป้องกันชายฝั่ง โครงการฟื้นฟูป่าชายเลน และกลยุทธ์การปรับตัวโดยชุมชน”

แนวปะการังและหญ้าทะเลการจัดการน้ำเสีย เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางทะเลและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ ประเทศไทยได้ลงทุนในระบบการจัดการน้ำเสียที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการบำบัดขั้นสูงและโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำเสียที่ได้รับการปรับปรุง ขยะมูลฝอย 

ทั้งนี้ พบว่า ขนาดตลาดของเศรษฐกิจสีน้ำเงินของประเทศไทย นั้นจากการพัฒนาภาคส่วนเหล่านี้ ทำให้การประเมินขนาดตลาดโดยรวมของเศรษฐกิจสีน้ำเงินของประเทศไทยคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาทจาก การท่องเที่ยวชายฝั่งและทางทะเลเป็นภาคส่วนหลัก คิดเป็น 81.7% ของตลาดรวมในปี 2562 ตามมาด้วยการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน คิดเป็น 8.7% และ 6.6% ของตลาดรวมตามลำดับ ทั้งสามภาคส่วนนี้รวมกันคิดเป็น 97.1% ของเศรษฐกิจสีน้ำเงินของประเทศไทย

การคาดการณ์สำหรับปี 2573 บ่งชี้ถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการท่องเที่ยวชายฝั่งและทางทะเลจะเติบโตเป็น 82.7% ของตลาดรวมและคาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน การจัดการน้ำเสีย และโครงการเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการสร้างเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่มีความหลากหลายและยั่งยืนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม รายงานชี้ว่า ท่ามกลางโอกาสและมูลค่าของเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่สูงนั้น เงื่อนไขต่างๆกลับพบความท้าทายสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ต่อเศรษฐกิจสีน้ำเงินของประเทศไทย  ทั้งที่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ มีสัดส่วนต่อการจ้างงานมากกว่า 70%ของการจ้างงานททั้งหมดของประเทศไทย   (ณ ปี พ.ศ. 2566)   หรือมีสัดส่วนต่อจีดีพีถึง 36% 

 “การมี MSMEs จำนวนมากเช่นนี้หมายความว่าโครงการริเริ่มใดๆ ที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสีน้ำเงินจะต้องเกี่ยวข้องกับวิสาหกิจขนาดเล็กเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและมูลค่า”  

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ MSMEs ก็ยังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับกิจกรรมทางทะเลที่ยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำกัด โดยMSMEs จำนวนมากประสบปัญหาในการหาเงินทุนเนื่องจากขาดหลักประกันและมีประวัติเครดิตที่จำกัด ทำให้ธุรกิจเหล่านี้กลายเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงในสายตาของสถาบันการเงิน และปัญหานี้ยิ่งซ้ำเติมด้วยโครงการขนาดเล็ก ซึ่งมักมีมูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ยังไม่มีกลไกหรือเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพในการรวมโครงการต่างๆ เข้าด้วยกันและเปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดการเงินได้ จึงส่งผลให้ MSMEs ส่วนใหญ่ถูกกีดกันจากการเข้าร่วมในโครงการริเริ่มทางการเงินสีน้ำเงินขนาดใหญ่ 

“ความตระหนักและความเข้าใจที่ต่ำเกี่ยวกับมาตรฐานความยั่งยืนยังสร้างอุปสรรคเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งแตกต่างจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ซึ่งMSMEs ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎระเบียบเดียวกันนี้”                     

  นั่นก็เพราะว่า บริษัทขนาดใหญ่ที่มีลูกค้าและการดำเนินงานระหว่างประเทศก็มีความตระหนักและมีแรงจูงใจในการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับธุรกิจมากกว่า และมีความสามารถทางการเงินมากกว่าในการดำเนินมาตรการที่เหมาะสม แต่ MSMEs ขาดความรู้ แรงจูงใจ และบ่อยครั้งที่ขาดทรัพยากรในการบูรณาการแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงาน ทำให้ยากต่อการดึงดูดนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตาม ESG

รายงานระบุว่า หากปราศจากการแทรกแซงที่ตรงเป้าหมาย เช่น โครงการค้ำประกันสินเชื่อ โครงการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน และโครงการริเริ่มเสริมสร้างศักยภาพ กลุ่มธุรกิจMSMEs จะยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีน้ำเงิน ทั้งที่เป็นกลุ่มที่จะสามารถส่งต่อวาระเศรษฐกิจสีนำเงินไปสู่วงกว้างได้

ขณะเดียวกัน  ก็ยังพบว่า ยังไม่มีกรอบมาตรฐานสำหรับการรายงานการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสีน้ำเงินซึ่งแตกต่างจากการเงินสีเขียว ซึ่งได้รับประโยชน์จากเกณฑ์คุณสมบัติที่ชัดเจนและมาตรฐานการวัดผลกระทบที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล การเงินสีน้ำเงินขาดแนวทางเฉพาะสำหรับการจัดโครงสร้าง ประเมิน และติดตามกระแสการลงทุน ความไม่สอดคล้องนี้จำกัดความโปร่งใสและลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ประเทศไทยกำลังแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่น่ายินดีในการวางรากฐานสำหรับการเงินสีน้ำเงิน การรับรู้ถึงศักยภาพของเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่เพิ่มมากขึ้นนำไปสู่แรงผลักดันในระยะเริ่มต้นในการพัฒนานโยบายและตลาดทุน  แม้ว่าปัจจุบัน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  ได้รับงบประมาณประจำปีเพียง 0.05% ของงบประมาณแผ่นดิน 

ขณะที่การเสริมการระดมทุนสาธารณะด้วยการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนที่มากขึ้น และกลไกทางการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีการทำงานอย่างแข็งขันในทุกภาคส่วนปัจจุบันนี้ 

“รายย่อย”เข้าไม่ถึง“เศรษฐกิจสีน้ำเงิน”   มูลค่าหลายพันล้านนำโดย“ท่องเที่ยว”