"ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือ “ เอิร์ธ“ รัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในรัฐบาลแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ด้วยวัย 35 ปี 7 เดือน
โดยรัฐมนตรี “เอิร์ธ เป็นบุตรชายของนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย และนางพรพาณี ตัณฑสิทธิ์ มีพี่น้องร่วมกัน 3 คน คือนายฉันทวิชญ์ เป็นบุตรชายคนโต น.ส.อิสรีย์ ตัณฑสิทธิ์ ปัจจุบันผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง และนายกฤตธี ตัณฑสิทธิ์ (ออดี้) อาจารย์คณะสังคมวิทยา-มานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ฉันทวิชญ์” เป็นบุคคลที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงในสังคมมากนัก แต่มีชื่อเสียงในวงการวิชาการ ด้วยงานวิจัยเกี่ยวกับนโยบายการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (Macroprudential Policy แต่ด้วยความที่อายุน้อย ทำให้ถูกมองว่า เป็นรัฐมนตรี “เด็ก” ซึ่ง”กรุงเทพธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าว
โดยนาย “ฉันทวิชญ์” เปิดใจว่า ตนเข้ามาช่วยขับเคลื่อนงานพาณิชย์ โดยฝั่งการเมืองเป็นฝ่ายนโยบาย ซึ่งการทำงานก็ต้องมีข้าราชการเป็นตัวหลัก เป็นแรงหนุน องคาพยพ เป็นกลไกในการขับเคลื่อน เมื่อ 2 ฝั่งรวมกันประสานกันได้ก็ทำให้งานเดินหน้าได้
ขณะเดียวกันก็เข้าใจด้านการเมือง มีอะไรที่ฝ่ายการเมืองต้องการก็มาบอกกับฝ่ายราชการ ซึ่งการทำงานต้องให้เกียรติกัน ทำให้ความแตกต่างระหว่างวัยหายไป อีกทั้งครอบครัวของตนก็อบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กและเปิดรับฟังความคิดเห็นของคนในครอบครัว ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกับการทำงานกับผู้ใหญ่
ที่สำคัญตนไม่ได้มองว่า เป็นรัฐมนตรีแล้วข้าราชการต้องทำตามคำสั่งทุกครั้ง แต่สามารถให้คำแนะนำในการทำงานได้ยอมรับว่าไม่ได้อยู่การเมืองมาตลอดและไม่มีชื่อเสียง เป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาที่รับข่าว ซึ่งข่าวมีความสำคัญ เข้าใจถึงการทำงานของสื่อ โดยตำแหน่งทางการเมืองโดยเฉพาะรัฐมนตรีเป็นหน้าที่จะต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ จะโดนตำหนิ หรือโดนด่า ก็ต้องสื่อสารให้ประชาชนรับรู้ว่าทำงานอะไรบ้าง
“การมาเป็นรัฐมนตรีอายุน้อย ซึ่งผมอายุ 35 ปีก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ผมไม่สนใจคำว่า เด็ก หรือผู้ใหญ่ แต่ผมมองว่า สถานการณ์ว่า เราทำได้ไหม? ถ้าทำได้ ผมเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความหวังดีให้ประเทศ อย่างที่มีคำพูด ไม่ได้วัดกันว่าอยู่บนโลกมากี่ปี แต่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่มีในแต่ละวัน เพราะเป็นมาตรวัดว่าคนนั้นทำงานได้แต่ไหน ดังนั้นเรื่องอายุมากน้อยไม่มีผล ”นายฉันทวิชญ์ กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
เชื่อว่า ประสบการณ์ที่มี และสิ่งที่ตนได้เรียนรู้มา จะช่วยให้สามารถทำงานได้ และผมมั่นใจว่าจะทำงานร่วมกับข้าราชการได้ ตนมาจากครอบครัวราชการ ตนไม่ได้เข้ามา”สั่ง “ แต่เข้ามาช่วยขับเคลื่อน และหวังว่าจะได้รับคำแนะนำในการขับเคลื่อนงาน
สำหรับแผนที่จะขับเคลื่อนงานของกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายฉันทวิชญ์ วางโจทย์ใหญ่ไว้ว่า จะทำอย่างไรให้ไทยมีที่ยืนอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นในเวทีโลก
"รัฐมนตรีเอิร์ธ" บอกว่า ด้วยความที่เป็นคนที่เติบโตมาในยุคไนท์ตี้ (ยุค 90 ) ที่เศรษฐกิจช่วงนั้นดีมาก ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอย แต่หลังจากนั้นเศรษฐกิจค่อยโตน้อยลงเรื่อยๆ ประกอบกับปัจจุบันโลกการค้าเปลี่ยนแปลงไปมาก ในแบบหน้ามือเป็นหลังมือแบบรายวัน เปลี่ยนเร็วมาก ไม่ใช่เพราะแค่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐเข้ามากำหนดนโยบายการค้า แต่ก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องเทคโนโลยี จีโอโพลิติกส์ AI รูปแบบการค้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพียงแต่นายทรัมป์เข้าเป็นตัวเร่งให้เราต้องเปลี่ยนแปลงและรับมือ
เมื่อได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือไอทีดี จึงได้วางแนวทางที่จะขับเคลื่อนเพื่อตอบโจทย์นี้ให้ได้
โดยด้านการต่างประเทศที่ต้องมีการเจรจา เริ่มจากการสนับสนุนการเจรจาเรื่องภาษีสหรัฐฯ ให้บรรลุผลสำเร็จ เพราะกระทรวงพาณิชย์ดูแล ทั้งเรื่องรายการสินค้าที่จะปรับลดภาษี เรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า และเรื่องการเยียวยา เพราะไม่ว่าผลเจรจาจะสรุปอย่างไร ก็จะมีกลุ่มที่ได้รับผลกระทบแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคู่ขนานกันไปคือ
1.การเร่งหาตลาดใหม่รองรับให้กับสินค้าไทย โดยเฉพาะเรื่องการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่อยู่ระหว่างการเจรจา คือ ไทย-เกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าน่าจะจบได้เร็ว ๆ นี้ และเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ถือเป็นฉบับสำคัญมาก เพราะสินค้าส่งออกของไทยไปอียูเป็นสินค้าสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับไทยสูง ดังนั้นตลาดอียูจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ
โดยขณะนี้การเจรจาคืบหน้าไปแล้ว 1 ใน 3 เหลืออีก 2 ใน 3 ตั้งเป้าจะเจรจาให้จบในปีนี้เช่นเดียวกัน หากสำเร็จ จะเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และมีโอกาสสำหรับการค้า การลงทุนของไทย และประมาณเดือน ส.ค.2568 ได้ให้ไอทีดีจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมในเรื่องนี้ด้วย
2. ปรับกฎเกณฑ์ทางการค้า ที่จะช่วยให้สินค้าไทยแข่งขันได้ และกฏเกณฑ์ที่ผู้ประกอบการจะสามารถเข้าไปแข่งขันได้ เช่น หลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศและภูมิภาค (Regional Value Content : RVC)
3.การเตรียมข้อมูลผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้า เพื่อให้ความช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะช่วยรับรองให้ โดยมาตรการเหล่านี้ จะมีการตั้งทีมเข้ามาดูแล มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงพาณิชย์มาร่วมกันทำงาน
นายฉันทวิชญ์ กล่าวว่า ประเด็นต่อมา คือ แผนที่จะผลักดัน SME เข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนโลก สามารถค้าขายออกสู่ตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น โดยได้มอบหมายให้ไปศึกษาดูว่า SME จะส่งออก ต้องเจอกฎระเบียบอะไรบ้าง ตั้งแต่เริ่มผลิตไปจนถึงการส่งออกได้ อย่าไปมองมุมที่กระทรวงพาณิชย์ต้องกำกับ แต่ให้มองในมุมว่า SME ต้องเจออะไร กฎระเบียบบางอย่าง จำเป็นต้องมีหรือไม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องคุณภาพมาตรฐาน อย่าไปแตะ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ก็ต้องเลิก
ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์มีฐานข้อมูลความต้องการสินค้าจากทั่วโลก ผ่านการสำรวจของทูตพาณิชย์ ก็เอามารวบรวมให้เป็นระบบ แล้วนำประมวลผลว่าสินค้าประเภทไหน ชนิดไหน ควรส่งออกไปประเทศไหนแล้วไปแจ้งให้กับ SME ชี้เป้าตลาดให้กับ SME หรือพา SME ไปขาย เพราะถ้าจะให้เขาไปเอง แค่ค่าเครื่องบินก็ไม่คุ้มแล้ว
“เป็นโจทย์ที่ผมวางไว้ว่าใน 90 วันนี้ จะต้องทำให้สำเร็จ แต่อาจจะไม่สำเร็จเปะ ๆทุกอย่าง เพราะเราไม่รู้ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร เรามาอยู่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ตลอดไปอยู่แล้ว เพราะการเมืองเข้ามาแล้วก็ออกไป แต่อย่างน้อยสิ่งที่เราไว้จะเป็นการวางรากฐานที่ดี หากคนใหม่เข้ามารับไม้ต่อ ก็ทำต่อได้เลยถ้าเค้าอยากทำ เหมือนการตอกเสาเข็มปลูกบ้านไว้ ส่วนจะเริ่มปลูกบ้านให้สวยงามแค่ไหนก็ต้องรอทิศทางการเมืองต่อไป ถ้าอยู่ก็ทำให้เป็นบ้านที่สำเร็จเรียบร้อยถ้าเห็นว่าดีก็ทำต่อ ไม่ดีก็แล้วแต่จะพิจารณา"นายฉันทวิชญ์ กล่าวทิ้งท้าย