การแต่งตั้งผู้ว่าการ ธปท. ควรโปร่งใสและสง่างาม

สัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่เข้า ครม.เป็นวาระเพื่อทราบ แต่ต้องเลื่อนไปเพราะเอกสารไม่ครบถ้วน ฟังดูแล้วก็ค่อนข้างน่าห่วงและดูรวบรัด
เพราะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นตำแหน่งสำคัญของประเทศ เป็นบุคคลที่ตลาดการเงินและนักลงทุนให้ความสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง
การแต่งตั้งจึงควรทำอย่างรอบคอบ โปร่งใส และถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งหมดก็เพื่อความสง่างามของกระบวนการแต่งตั้ง ของผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง และประโยชน์ที่จะมีต่อประเทศ วันนี้จึงอยากให้ความเห็นเรื่องนี้
ในทุกประเทศ ตำแหน่ง “ผู้ว่าการธนาคารกลาง” สำคัญมาก เพราะหน้าที่ของธนาคารกลางคือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสำคัญและจำเป็นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ จึงต้องการผู้มีความรู้ความสามารถ เป็นที่เคารพและยอมรับของทุกวงการทั้งในและต่างประเทศเข้ามาทำหน้าที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ
ในสหรัฐอเมริกา ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางหรือประธานเฟดถือเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากตำแหน่งประธานาธิบดี ประเทศเราก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเช่นกัน โดยระบุขั้นตอนในการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไว้อย่างชัดเจนในกฎหมายคือ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้ได้บุคคลที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเข้ามาทำหน้าที่ กระบวนการสรรหาและแต่งตั้งตั้งแต่ต้นจนจบจึงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายระบุไว้
ในการแต่งตั้ง กฎหมาย มาตรา28/14 ระบุว่า “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ว่าการโดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี” โดยให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือก เพื่อทำหน้าที่คัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองคนเสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
จากเนื้อความดังกล่าวชัดเจนว่า กระบวนการคือคณะกรรมการคัดเลือกเสนอชื่อไม่น้อยกว่า 2 ชื่อต่อรัฐมนตรี รัฐมนตรีพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วนําความทูลเกล้าเพื่อทรงแต่งตั้ง การพิจารณาร่วมกันของคณะรัฐมนตรีจึงเป็นขั้นตอนสำคัญของกระบวนการแต่งตั้ง จึงควรเสนอเรื่องการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าครม.เป็นวาระเพื่อพิจารณาไม่ใช่วาระเพื่อทราบ เพื่อให้ได้มาซึ่งคําแนะนำของคณะรัฐมนตรีตามที่กฎหมายกำหนดไว้
การพิจารณาร่วมกันของคณะรัฐมนตรี นอกจากจะตรงกับข้อกำหนดของกฎหมายและถูกต้องตามหลักความรับผิดชอบร่วมกันของคณะรัฐมนตรี (Collective responsibility) แล้วจะเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีได้ซักถาม แสดงความเห็น และร่วมกลั่นกรองประเด็นต่างๆ ที่จะทำให้คําแนะนำของคณะรัฐมนตรีมีความสมบูรณ์ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องคุณสมบัติและความเหมาะสมที่ มาตรา28/17 ระบุว่า “ผู้ว่าการต้องมีสัญชาติไทยและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้....”
ซึ่งลักษณะต้องห้ามทั้งหมดมี 9 ข้อ เช่น เรื่องอายุ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เคยต้องโทษจำคุก เป็นหรือเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกเว้นพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว 1 ปี ไม่เป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งใดในสถาบันการเงิน เป็นต้น รวมถึง มาตรา 28/15 ที่ระบุว่า “ผู้ว่าการต้องมีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในด้านเศรษฐศาสตร์หรือด้านการเงินการธนาคาร”
การช่วยกันกลั่นกรองผู้เหมาะสมที่จะได้รับการเสนอชื่อจึงสำคัญ ทั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาด และเพราะการตีความกฎหมายในปัจจุบันเข้มมาก ไม่ได้ดูเฉพาะถูกหรือผิดตามกฎหมาย แต่ดูเลยไปถึงเรื่องจริยธรรมคือควรทำหรือไม่ควรทำ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่สำคัญ
ที่ผ่านมาประเด็นที่ให้ความสำคัญกันมากคือ ผลประโยชน์ขัดแย้งที่ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่ออาจทำงานอยู่ในสถาบันการเงิน หรือในธุรกิจที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับกิจการของ ธปท. ทำให้อาจมีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายระบุไว้ จึงควรต้องช่วยกันดูประเด็นเหล่านี้ให้ถูกต้องเรียบร้อย เพื่อให้คําแนะนําของคณะรัฐมนตรีสมบูรณ์
ในทุกประเทศ รัฐบาลจะระมัดระวังและให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารกลาง ส่วนหนึ่งเพราะความสำคัญของตำแหน่งหน้าที่ อีกส่วนคือความรู้ความสามารถและ Reputation หรือชื่อเสียงของผู้ที่มาดำรงตำแหน่งที่จะสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจให้กับตลาดการเงิน โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินในประเทศที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล
ประเด็นนี้สำคัญแม้ในประเทศที่การเมืองดูขาดเสถียรภาพ มีความขัดแย้งสูง หรือประเทศมีความท้าทายเรื่องธรรมาภิบาลภาครัฐมาก มีระบบอุปถัมภ์และปัญหาคอร์รัปชัน รัฐบาลในทุกประเทศจะระมัดระวัง ไม่นําการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง เพื่อให้ได้บุคลากรของประเทศที่มีความรู้เข้ามาช่วยการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและภาคธุรกิจ สําหรับในกลุ่มประเทศอาเซียนเองล่าสุดก็มีตัวอย่างให้เห็น เช่น
ฟิลิปปินส์ ที่การเมืองในประเทศถูกวิจารณ์ว่าเป็นการเมืองระหว่างตระกูลที่มีความขัดแย้งสูง แต่การเมืองก็แต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารกลางได้อย่างดี เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นมืออาชีพ เป็นที่รู้จักและยอมรับของตลาดการเงินและในเวทีการประชุมธนาคารกลางระหว่างประเทศ การเมืองทั้งสองฝ่ายยอมรับ ทำให้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ได้ประโยชน์
อินโดนีเซียก็เช่นกัน ผู้ว่าธนาคารกลางคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นลูกหม้อธนาคารกลางอินโดนีเซีย กำลังดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง แต่งตั้งและทำงานในยุคสมัยของสองประธานาธิบดีคือคนปัจจุบันและคนก่อนหน้า แสดงให้เห็นว่าการเมืองอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับคุณภาพและความสามารถของทรัพยากรบุคคลที่ประเทศมี และพร้อมให้ความสำคัญกับเรื่องที่มีความสำคัญ
นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเรา ที่ทุกประเทศก้าวไปข้างหน้า ให้ความสำคัญและพยายามสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาทำหน้าที่ เพื่อให้ประเทศได้สิ่งที่ดีที่สุด







