สหรัฐกดดันให้ปรับโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ (ตอน 2)

สหรัฐกดดันให้ปรับโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ (ตอน 2)

ครั้งที่แล้วผมเล่าถึงนโยบายการค้าของสหรัฐว่า ต้องการที่จะเอาผลประโยชน์คืนจากประเทศคู่ค้าที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐให้มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงการผดุงไว้ซึ่งระบบการค้าเสรี

KEY

POINTS

  • ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นำเสนอบทความตอน 2 นโยบายการค้าของสหรัฐ ที่มุ่งใช้ภาษีเพื่อลดการขาดดุลการค้าจะทำให้การส่งออกของไทยหดตัวลง
  • เป้าหมายของทรัมป์อาจไม่ใช่การบรรลุข้อตกลงการค้าใหม่ แต่เป็นการตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงเพื่อหารายได้เข้ารัฐให้ได้มากที่สุด
  • ไทยจำเป็นต้องมองหาและพัฒนาตลาดส่งออกขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น จีน, สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น เพื่อมาทดแทนตลาดสหรัฐที่จะหดตัวลง

ครั้งที่แล้วผมเล่าถึงนโยบายการค้าของสหรัฐว่า ต้องการที่จะเอาผลประโยชน์คืนจากประเทศคู่ค้าที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐให้มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงการผดุงไว้ซึ่งระบบการค้าเสรี

ดังนั้น ประเทศคู่ค้าของสหรัฐรวมถึงประเทศไทยจึงจะต้องยอมรับความจริงว่า การส่งออกของไทยไปสหรัฐจะต้องหดตัวลง และยิ่งไทยพยายามฝืนความต้องการของสหรัฐที่ให้เปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐ การส่งออกของไทยไปสหรัฐก็จะยิ่งหดตัวมากขึ้น เพราะไทยจะยิ่งถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น

ถามว่า การที่สหรัฐไล่เก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นกับประเทศคู่ค้าลำดับต้นๆ และบังคับให้เปิดตลาดของประเทศดังกล่าวให้กับสินค้าสหรัฐ จะทำให้การขาดดุลของสหรัฐโดยรวมลดลงหรือไม่เพียงใด คำตอบคือไม่ได้ช่วยมากนัก

ทั้งนี้เพราะสาเหตุพื้นฐานที่ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ายาวนานมาหลายสิบปีที่ระดับ 2-3% ของจีดีพีนั้น เป็นผลมาจากการใช้จ่ายเกินตัวเป็นหลัก

กล่าวคือ การขาดดุลการค้าคือการที่ประเทศสหรัฐต้องนำเข้าสุทธิ (net imports) เป็นจำนวนมาก เพราะการผลิตในประเทศมีไม่พอกับความต้องการในประเทศ (supply is less than expenditure) และการเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศเพื่อนบ้านและการเจาะตลาดประเทศลูกค้าให้กับสินค้าสหรัฐนั้น จะไม่สามารถตอบโจทย์การผลิตที่ไม่เพียงพอดังกล่าว

สาเหตุหลักที่ทำให้สหรัฐใช้จ่ายเกินตัวคือ การที่รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ (มีรายจ่ายมากกว่ารายได้) ติดต่อกันต่อเนื่องกว่า 6% ของจีดีพี ในหลายปีที่ผ่านมา และในอนาคตก็สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนว่า การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะอยู่ที่ระดับนี้ (คือมากกว่า 6% ของจีดีพี) ต่อเนื่องต่อไปอีกนานนับสิบปี

เพราะประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งลงนามออกกฎหมายลดภาษีที่มีชื่อว่า Big Beautiful Bill ซึ่งได้ต่ออายุการลดภาษีเมื่อ 10 ปีก่อนหน้า (ซึ่งเป็นสาเหตุหลักอันหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐขาดทุนงบประมาณ 6% ของจีดีพีต่อปี) โดยทำให้การลดภาษีดังกล่าวเป็นไปอย่างถาวร

นอกจากนั้นยังได้มีการลดภาษีในส่วนอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีก รวมทั้งการเพิ่มงบประมาณให้กับการทหารและการรักษาความมั่นคงที่ชายแดน โดยได้พยายามลดค่าใช้จ่ายในการประกันสุขภาพให้กับคนรายได้ต่ำเพียงเล็กน้อย

ดังนั้น โดยรวมการใช้จ่ายเกินตัวของสหรัฐก็จะยังดำเนินต่อไป และอาจจะสูงขึ้นกว่าในอดีตอีกด้วย

ดังนั้น มาตรการบีบประเทศคู่ค้าให้ขายสินค้าไปให้สหรัฐน้อยลง จะทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศขนาดเล็กอื่นๆ ต่อไป ตัวอย่างเช่น เดิมทีสหรัฐมีเป้าหมายที่จะลดการนำเข้าจากจีน ต่อมาจึงได้มีการย้ายฐานการผลิตไปที่เวียดนาม เม็กซิโกและไทย เป็นต้น

แต่ตอนนี้ก็กำลังกดดันประเทศคู่ค้าดังกล่าวให้ลดการส่งออกไปที่สหรัฐ การคาดหวังว่าจะมีการย้ายฐานการลงทุนกลับไปที่สหรัฐนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะปัจจุบันสหรัฐก็ขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว กล่าวคืออัตราการว่างงานต่ำเพียง 4.1%

ล่าสุดนั้น ท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ ออกไปในทางที่ต้องการจัดเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศคู่ค้า ในอัตรา 20 ถึง 30% เพราะคงเข้าใจว่า การเพิ่มรายได้ของภาครัฐจะแก้การปัญหาการขาดดุลงบประมาณเรื้อรังได้ดีที่สุด

ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ต้องการบรรลุถึงข้อตกลงการค้ากับประเทศคู่ค้า แต่ตั้งใจจะเก็บภาษีให้ได้มากที่สุด โดยประธานาธิบดีทรัมป์เข้าใจว่า ประเทศคู่ค้าจะลดราคาสินค้าเท่ากับภาษีที่เก็บ ทำให้ราคาสินค้าในอเมริกาไม่เพิ่มขึ้น แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นในระยะยาว

ประเทศคู่ค้าของสหรัฐจะต้องยอมรับสภาพและปรับโครงสร้างการค้าของตัวเอง หมายความว่าเราไม่ควรจะพยายามเจรจาการค้ากับสหรัฐเพื่อหวังว่าทุกอย่าง “กลับไปเหมือนเดิมให้มากที่สุด”

แต่ควรคิดว่า ระบบการค้าของโลกที่เป็นประโยชน์กับไทยโดยที่สหรัฐไม่มีส่วนร่วมนั้น ควรจะมีลักษณะใด เช่น แนวคิดของญี่ปุ่นและออสเตรเลียที่จะผลักดันให้ข้อตกลงการค้า CPTPP มาขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่ง CPTPP นั้น อังกฤษสมัครเป็นสมาชิกแล้ว และสหภาพยุโรปก็แสดงความสนใจที่จะเชื่อมต่อด้วย

ประเด็นคือ ประเทศไทยจะต้องลดการส่งออกไปยังสหรัฐลงอย่างมาก เมื่อปี 2567 ไทยส่งออกไปที่สหรัฐมูลค่ารวม 55,100 ล้านเหรียญ การส่งออกของไทยไปสหรัฐอาจต้องลดลงเหลือ 40,000 ล้านเหรียญหรือต่ำกว่านั้น แล้วเราจะหาตลาดส่งออกที่ไหนมาทดแทน?

ผมได้รวบรวมข้อมูลของตลาดขนาดใหญ่ที่น่าจะสามารถทดแทนตลาดสหรัฐได้ (แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลานาน 3-4 ปีในการพัฒนาตลาด) ดังปรากฏในตาราง(ตัวเลขเป็นพันล้านดอลลาร์)

จะเห็นได้ว่า ตลาดจีน สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น รวมกันใหญ่กว่าตลาดสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ รวมกันแล้วนำเข้ามากกว่าสหรัฐประมาณ 50% และไทยส่งออกไปตลาดดังกล่าวมากกว่าส่งออกไปสหรัฐประมาณ 60%

ที่สำคัญคือ จีดีพีรวมกันก็มากกว่าสหรัฐ และอัตราภาษีศุลกากรปัจจุบันที่ 2-5 % ก็จะต่ำกว่าภาษีที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเรียกเก็บคือ 20 ถึง 30% อย่างมาก.

 

สหรัฐกดดันให้ปรับโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ (ตอน 2)