สูตรแก้หนี้ ‘วิทัย รัตนากร‘ เป็นหนี้ไม่ผิด แต่ต้องเข้าใจ

สูตรแก้หนี้ ‘วิทัย รัตนากร‘ เป็นหนี้ไม่ผิด แต่ต้องเข้าใจ

“วิทัย” แนะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่ต้องอาศัย 3 ปัจจัย คือ เศรษฐกิจเติบโต, การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และมาตรการเสริมจากภาครัฐ

KEY

POINTS

  • "การมีหนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องเข้าใจและเลือกประเภทหนี้ให้ดี โดยพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเป็นสำคัญ และควรหลีกเลี่ยงหนี้บัตรเครดิตหากไม่จำเป็น" 
  • "วิทัย" แนะ 3 วิธีจัดการหนี้บ้านให้หมดเร็ว คือการรีไฟแนนซ์หรือรีเทนชั่นทุก 3 ปี, เพิ่มยอดผ่อนชำระต่อเดือน, และนำเงินพิเศษมาโปะเพื่อตัดเงินต้น
  • การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่ต้องอาศัย 3 ปัจจัย คือ เศรษฐกิจเติบโต, การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และมาตรการเสริมจากภาครัฐ
  • นอกจากการแก้หนี้แล้ว การออมเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องมีเป้าหมาย, ออมก่อนใช้ และกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุน ไม่ใช่แค่การฝากเงิน

“กรุงเทพธุรกิจ” รวมแนวคิดที่น่าสนใจเรื่องการแก้หนี้จากมุมมองของ “วิทัย รัตนากร” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน จากช่วงการบรรยายในหัวข้อ “หนี้บัตร หนี้บ้าน หนี้นอกระบบ จัดการอย่างไร” ในงานอมรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) ประจำปี 2568 ปีที่ 19 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ 

นายวิทัย กล่าวว่า ทุกคนมองเห็นว่าเศรษฐกิจไม่ดีและดูน่าจะซึมลึกยาวนาน ขณะนี้ภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่เป็นกำลังขับเคลื่อนหลักเริ่มน่ากังวล จากความเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนจากภาษีสหรัฐ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน การกระจายรายได้ สังคมสูงวัย และความไม่แน่นอนทางการเมือง 

“ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องภาษีทรัมป์ที่เข้ามา หากไม่เปลี่ยนวิธีแก้ปัญหา ยังแยกกันทำงาน โอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาและโตจะเป็นไปได้ยาก“

นายวิทัย กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยไม่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยมาตรการเดียว แต่ต้องช่วยกันทำงานสอดประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการออกมาตรการอย่างต่อเนื่องมาเพื่อช่วยบรรเทาปัญหา และต้องเป็นมาตรการที่ทำได้จริง เพื่อทำให้ประชาชนหายใจได้คล่องขึ้น มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคเป็นเรื่องจำเป็น การขับเคลื่อนเรื่องของเศรษฐกิจให้โตได้

นายวิทัย กล่าวว่า วิธีการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนทำได้ 3 แนวทาง ได้แก่ 

1.เศรษฐกิจต้องเติบโต คนมีรายได้เพิ่ม ก็จะมีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่เป็นเปอร์เซ็นต์และยอดหนี้รวมจะลดลงได้จากขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น 

“Nominal GDP 4.5% เป็นไปได้ หากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในค่ากลางของกรอบเป้าหมาย 1-3% และเศรษฐกิจโตได้ 2.5% เชื่อว่าภายใน 2-3 ปี สัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะลดลงได้ต่ำกว่า 80%”

2.ลดดอกเบี้ยเงินกู้ จะช่วยให้ลูกหนี้ตัดเงินต้นได้มากขึ้นแม้จ่ายเท่าเดิม ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และทำให้สภาพเงินส่วนบุคคลดีขึ้น และจะลดหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่ลงเร็ว และ 3.มาตรการเสริมอื่นๆ ที่จะเข้ามาช่วยบรรเทา

“การมีหนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่จะต้องเลือกและรู้จักว่าเป็นหนี้เพื่ออะไร พิจารณาอัตราดอกเบี้ยให้ดี หนี้บ้านมีดอกเบี้ยต่ำที่สุด ส่วนแพงที่สุดคือหนี้บัตร ไม่แนะนำให้เป็นหนี้บัตรเครดิตเลยถ้าไม่จำเป็น“

สูตรจัดการหนี้บ้าน ต้องตัดต้นให้เร็ว

นายวิทัย กล่าวต่อว่า คนที่มีหนี้บ้าน ยิ่งลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ก็ยิ่งปิดหนี้ได้เร็ว สำหรับคนที่มีหนี้บ้านสามารถจัดการได้ 3 แนวทาง คือ

1.ช่วง 3 ปีแรกที่ดอกเบี้ยบ้านต่ำที่สุด เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3% สำหรับลูกหนี้ที่มีประวัติชำระดี สิ่งที่ต้องทำคือทุกๆ 36 เดือน ให้ขอยื่นรีไฟแนนซ์ หรือรีเทนชั่นกับธนาคารเดิม ให้ดอกเบี้ยปีกลับมาอยู่ในระดับต่ำลง

2.เพิ่มยอดการผ่อนจ่ายในแต่ละเดือนจากยอดขั้นต่ำ จะได้มีระยะเวลาจ่ายค่างวดที่สั้นลง ซึ่งหมายถึงยอดดอกเบี้ยก็จะลดลงตาม

3.ชำระเงินต้นเพิ่มในแต่ละปี จากเงินโบนัสหรือรายได้พิเศษ ยิ่งตัดเงินต้นในช่วง 3 ปีแรกได้มากเท่าไหร่ ก็จะเป็นยอดดอกเบี้ยรวมที่ลดลงด้วย

สูตรการออมแบบ “วิทัย”

นอกจากปัญหาหนี้แล้ว การออมต่ำก็เป็นอีกปัญหาหนี่งของสังคมไทย นายวิทัย กล่าวว่า การเก็บออมเป็นเรื่องสำคัญ โดยอันดับแรกต้องมีเป้าหมายให้ชัดว่าปลายทางต้องการมีเงินเท่าไหร่ ให้ลองคำนวณง่ายๆ จากเงินที่ต้องการใช้ในแต่ละเดือนหลังเกษียณ ต้องมีเท่าไหร่จึงจะพอใช้ คูณกับระยะเวลาที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังจากนั้น

“ผมเริ่มออมตั้งแต่ก่อนอายุ 30 ปี ที่สำคัญต้องออมก่อนใช้ ออมให้สม่ำเสมอ หากปัจจุบันยังมีไม่พอใช้ ให้ลองเริ่มออมจากเงินเดือนที่ได้เพิ่มขึ้นในแต่ละปี คือเป็นการเก็บเงินจากอนาคต”

นอกจากนี้ อย่าออมด้วยการฝากเงินอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นจะถูกเงินเฟ้อกินหมด ต้องรู้จักกระจายความเสี่ยง ศึกษาเรื่องการลงทุน ไม่ว่าจะพันธบัตร หรือหุ้นที่สนใจ

ชูออมสินโมเดล Social Bank

นายวิทัย กล่าวว่า ธนาคารออมสินดำเนินบทบาทของการเป็นธนาคารเพื่อสังคม (Social Bank) ด้วยการดำเนินโมเดลธุรกิจแบบเชิงพาณิชย์ อาทิ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล และภารกิจเพื่อสังคมคู่ขนานกันไป โดยนำกำไรจากผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์มาช่วยอุดหนุนธุรกิจเพื่อสังคมที่ยอมขาดทุนกำไร และมีความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสียสูง (NPL)

ทั้งนี้ ภารกิจสำคัญในการช่วยสังคมของออมสินคือการดึงคนเข้าสู่สถาบันการเงินในระบบ (Financial Inclusion) โดยล่าสุดมีการออกสินเชื่อ เจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ พ่อค้าแม่ค้า ไรเดอร์ พนักงานบริการ ให้ทุกอาชีพที่ยังไม่เคยมีประวัติการกู้ได้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ 

นายวิทัย กล่าวว่า การให้สินเชื่อกับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ประเมินเบื้องต้นว่ากว่า 20% จะกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) หากคิดในแง่ร้ายก็จะมองได้ว่าทำให้เสียวินัยทางการเงิน แต่หากมองในอีกด้านหนึ่งคือคนอีก 80% ที่เป็นลูกหนี้ดี เป็นกลุ่มที่ได้รับโอกาสที่ไม่เคยได้ ได้สร้างเครดิตการเงินซึ่งจะสามารถทำให้พวกเขาเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารอื่นได้ในอนาคต

"การดึงคนเข้าสู่การเงินในระบบพูดกันมานาน ถึงเวลาทำก็ต้องทำอย่าทฤษฎีเยอะ ถ้าไม่กล้าทำเลยก็จะไม่เกิดผลลัพธ์"