"พาณิชย์" เผย คนรักสุขภาพ ดัน "ธุรกิจออกกำลังกาย" บูม ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

สนค. เผย กระแสรักสุขภาพ ดันธุรกิจออกกำลังกายและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโต ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เผย ปี 67 สามารถสร้างรายได้รวม 42,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.23%
KEY
POINTS
Key Point
- ปี 2566 ธุรกิจออกกำลังกายโลก มีมูลค่า 1.06 ล้านล้านดอลลาร์
- กระทรวงพาณิชย์ชี้เทรนด์ใส่ใจสุขภาพมาแรง ดันธุรกิจออกกำลังกายเติบโตต่อเนื่อง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
- มูลค่าตลาดธุรกิจออกกำลังกายของไทยสูงถึง 3,370 ล้านดอลลาร์ อยู่อันดับที่ 32 ของโลก และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
- ปี 2567 มีการจัดตั้งธุรกิจออกกำลังกายใหม่ 396 ราย เพิ่มขึ้น 33.33% สะท้อนการขยายตัวของตลาดอย่างชัดเจน
- พฤติกรรมการออกกำลังกายแตกต่างกันในแต่ละวัย โดย Gen Y นิยมเข้ายิม/ฟิตเนส และ Gen Z นิยมการวิ่ง
- เทคโนโลยีดิจิทัลและโซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้คนหันมาออกกำลังกายและดูแลภาพลักษณ์มากขึ้น
ปัจจุบันประชาชนหันมาใส่ใจ “สุขภาพ” กันมากมากขึ้น ในยุคของที่สังคมใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ เวลาส่วนใหญ่ก็ใช้ไปกับการทำงาน จนลืมดูแล “สุขภาพ” ของตนเองจนเกือบจะสายเกิน ไป แต่ปัจจุบันผู้คนหันมาดูแลใส่ใจ “สุขภาพ”มากขึ้น ความต้องการอาหาร การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองมีแนวโน้มมากขึ้น จนผลักดันให้ “ธุรกิจออกกำลังกาย”หรือธุรกิจฟิตเนส กลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า จากข้อมูลของสถาบัน Global Wellness ประเมินว่า ในปี 2566 ธุรกิจออกกำลังกายโลก มีมูลค่า 1.06 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตในอัตราเฉลี่ยปีละ 5.8% ในช่วง 5 ปีข้างหน้าจนมีมูลค่าประมาณ 1.41 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2571
โดยในปี 2566 ภูมิภาคอเมริกาเหนือมีมูลค่าตลาดธุรกิจออกกำลังกายมากที่สุดคือ 401,300 ล้านดอลลาร์เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปี 2565 และภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียนมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดอยู่ที่ 19.5% ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าธุรกิจออกกำลังกาย 300,400 ล้านดอลลาร์ เติบโต 3.3%
สำหรับตลาดรายประเทศ พบว่า ในปี 2566 สหรัฐฯ เป็นตลาดออกกำลังกายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก มูลค่าตลาดสูงถึง 376,800 ล้านดอลลาร์ รองลงมาเป็นประเทศจีน 155,400 ล้านดอลลาร์ สหราชอาณาจักร 52,900 ล้านดอลลาร์ เยอรมนี 41,600 ล้านดอลลาร์ และญี่ปุ่น 37,200 ล้านดอลลาร์
"พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ "ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญและมีค่านิยมในการใส่ใจสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกกำลังกาย รับประทานอาหารสุขภาพและอาหารเสริม ส่งผลทำให้ยอดขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพเติบโต เป็นโอกาสของผู้ที่สนใจสร้างรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธุรกิจออกกำลังกาย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ประเทศไทยมีมูลค่าธุรกิจออกกำลังกาย 3,370 ล้านดอลลาร์ สูงเป็นอันดับที่ 32 จาก 218 ประเทศทั่วโลก เพิ่มขึ้น 6.6% จากปี 2565 และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจากการสำรวจข้อมูลการออกกำลังกายของคนไทยอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป พบว่า ในปี 2567 มีคนที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็นสัดส่วน 44.39% เพิ่มขึ้นจาก 42.18% จากปี 2566
จากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคด้านสุขภาพและเวลเนสของ SCB EIC เมื่อปี 2566 จำนวน 1,402 คน พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 90% นิยมออกกำลังกาย และสัดส่วนผู้ที่ออกกำลังกายมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือนอยู่ที่ 56% ของผู้ตอบแบบสอบถาม และกิจกรรมออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ออกกำลังกายเป็นประจำคือกิจกรรมที่ทำต่อเนื่อง เช่น โยคะ/พิลาทิส วิ่ง และเข้ายิม/ฟิตเนส
นอกจากนี้ คนไทยในแต่ละช่วงวัยนิยมออกกำลังกายในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยพบว่า กลุ่ม Baby boomer นิยมการเดินออกกำลังกายมากที่สุด กลุ่ม Gen X นิยมการว่ายน้ำ โยคะ พิลาทิส กลุ่ม Gen Y นิยมการเข้ายิม/ฟิตเนส และกลุ่ม Gen Z นิยมการวิ่ง
ธุรกิจออกกำลังกายและธุรกิจที่เกี่ยวข้องในไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในปี 2567 มีนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการในธุรกิจออกกำลังกายจำนวนทั้งหมด 2,499 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 12,933 ล้านบาท โดยส่วนมากเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก 2,485 ราย คิดเป็น 99.44% ของผู้ประกอบการทั้งหมด และในปี 2567 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 396 ราย เพิ่มขึ้น 33.33% จากปี 2566
นอกจากนี้ ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย เช่น ธุรกิจขายส่ง/ปลีกเครื่องกีฬา อุปกรณ์ฟิตเนส ชุดออกกำลังกายก็เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยในปี 2567 ธุรกิจกลุ่มนี้มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 206 ราย เพิ่มขึ้น 28.75% จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ในปี 2566 ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย สามารถสร้างรายได้รวม 42,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.23% จากปี 2565 และทำกำไรได้ 1,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.51% สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตและโอกาสในตลาดสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ธุรกิจออกกำลังกายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจและมีปัจจัยสนับสนุนในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ กระแสการใส่ใจสุขภาพและการมีอายุที่ยืนยาว และการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการใช้แอปพลิเคชัน อุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกาย (fitness tracking) คลาสออกกำลังกายออนไลน์ ตลอดจนเกิดความนิยมในการออกกำลังกายในรูปแบบผสมผสาน เช่น การชกมวยกับพิลาทิส (Piloxing) เวทเทรนนิ่งกับพิลาทิส
รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการออกกำลังทั้งกายและใจ เช่น โยคะ การออกกำลังกายเป็นกลุ่มและการจัดตั้งคอมมูนิตี้ฟิตเนส เพื่อสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนให้กำลังใจกัน การมีแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่ให้ข้อมูลและกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาออกกำลังกายตามอินฟลูเอนเซอร์ และการให้ความสำคัญกับรูปร่าง บุคลิกภาพและภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่
อย่างไรก็ตามแม้ธุรกิจออกกำลังกายจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบการก็ต้องพัฒนาธุรกิจให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคโดยคำนึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น การตอบสนองความต้องการ เป้าหมายการออกกำลังกายของผู้ใช้บริการแต่ละคน (personalization) ราคาที่เข้าถึงได้ คุณภาพการให้บริการที่ดี การจัดโปรโมชัน การสร้างความคุ้นชินโดยให้ทดลองใช้บริการ เพื่อให้เกิดการใช้บริการต่อเนื่องในอนาคต รวมทั้งอาจพิจารณาช่องทางการให้บริการที่หลากหลายเข้าถึงได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และขยายการให้บริการในรูปแบบแพ็กเกจไปยังสินค้า บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย อาทิ อาหารเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์เสริมในการออกกำลังกาย







