ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าต่อภาคแรงงานในเอเชีย | ASEAN Insight

ปี 2568 เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและรอบด้าน การแก้ไขปัญหาแรงงานนอกระบบให้เข้าสู่ระบบมากขึ้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของแรงงาน เพื่อหนุนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ต่อไป
ในช่วงปี 2568 เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาคการค้าสินค้าและบริการที่ประสบปัญหาจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ไปจนถึงปัจจัยภายในของแต่ละประเทศ เช่น ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปัญหาด้านการเมือง และปัญหาด้านทรัพยากรมนุษย์
ในบริบทนี้ “แรงงาน” ในฐานะกลไกขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ย่อมได้รับผลกระทบจากความท้าทายทางเศรษฐกิจดังกล่าวหลายประการเช่นกัน เช่น แรงงาน ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากรูปแบบการค้าของสหรัฐที่เปลี่ยนแปลงไป หรือปัญหา การขยายตัวของจำนวนแรงงานนอกระบบที่สูงขึ้น
ในมิติความไม่แน่นอนจากรูปแบบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานจากภาคการผลิตเพื่อส่งออกที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าว อาจได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียนั้นพึ่งพาภาคการส่งออกในปริมาณสูง โดยจากข้อมูลการประมาณการของธนาคารโลกในปี 2566 พบว่า กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียมีมูลค่าการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน % ต่อ GDP ค่อนข้างสูง เช่น กัมพูชา (67%) สาธารณรัฐเกาหลี (44%) ไทย (65%) และเวียดนาม (87%) เป็นต้น
ทั้งนี้เมื่อพิจารณากลุ่มแรงงานในภาคการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากข้อมูลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) พบว่า สัดส่วนแรงงานในภาคผลิตที่มีความเกี่ยวข้องทางตรงหรือทางอ้อมกับสินค้าอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายในสหรัฐนั้นมีมากถึงประมาณ 14% ของภาคการผลิตทั้งหมด
ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และแปซิฟิก มีสัดส่วนประมาณ 8.2%, 6.9% และ 5.4% ตามลำดับ ทำให้แรงงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญกับความเปราะบางและขาดความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อนโยบายการค้าของสหรัฐที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลให้แรงงานในภาคการผลิตในภูมิภาคต้องโยกย้ายไปทำงานในภาคเศรษฐกิจอื่น หากไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ได้
ในมิติของปัญหาแรงงานนอกระบบที่มักจะขาดความมั่นคงในชีวิต เนื่องจากไม่มีสวัสดิการทางสังคม และมีความยืดหยุ่นหรือภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งจากการประมาณการของ ILO ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2567 พบว่าภูมิภาคนี้มีแรงงานนอกระบบประมาณ 1.3 พันล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 66% ของการจ้างงานทั้งหมดในภูมิภาค
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีสัดส่วนแรงงานดังกล่าวประมาณ 69% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในการลดสัดส่วนแรงงานนอกระบบในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา (จากประมาณ 80% ในปี 2547) แต่ความคืบหน้าดังกล่าวได้หยุดชะงักลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19
การแก้ไขปัญหาแรงงานนอกระบบให้เข้าสู่ระบบมากขึ้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของแรงงาน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ต่อไป
ประเด็นต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันทั้ง 2 ประเด็นนี้ล้วนเป็นความท้าทายด้านแรงงานที่สำคัญในปัจจุบัน ที่จำเป็นต้องมีนโยบายหรือกลไกที่เหมาะสมมาช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุมทั้งในระดับภูมิภาคเอเชีย และในระดับประเทศต่อไป







