“ทำเนียบขาว” ชี้ “เงินเฟ้อ” อยู่ในเกณฑ์ดี เมินภาษีทำของแพง “ผู้นำเข้าสหรัฐ” เร่งปรับตัว

“ทำเนียบขาว” ชี้ “เงินเฟ้อ” อยู่ในเกณฑ์ดี   เมินภาษีทำของแพง “ผู้นำเข้าสหรัฐ” เร่งปรับตัว

กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)ของสหรัฐในเดือนมิ.ย. ขยายตัว 2.7% เมื่อเทียบปีที่แล้ว และเป็นการปรับเพิ่มเร็วขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งขยายตัวที่ 2.4% และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าบริษัทต่างๆ “เริ่มที่จะโยนภาระภาษีศุลกากรไปให้ผู้บริโภค”

เงินเฟ้อพื้นฐาน(Core inflation) ซึ่งไม่รวมราคาอาหาร และพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.9% โดยมีสินค้าในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ของเล่น และเสื้อผ้า ซึ่งเป็นสินค้าที่มักได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรปรับราคาขึ้นมากในเดือนมิ.ย. ในขณะที่ราคา “รถยนต์” ปรับตัวลดลงอย่างไม่คาดคิด

เมื่อเทียบเป็นรายเดือนจากพ.ค. ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้น 0.3% ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นรายเดือนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. ที่ผ่านมา และถือเป็นการ “หักหน้า” เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่กล่าวเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ 

อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าในหมวดหลักเพิ่มขึ้น 0.23% ซึ่งอยู่ในระดับกลางของช่วงการเพิ่มขึ้นรายเดือนตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งนี้บรรดานักเศรษฐศาสตร์กำลัง “เสียงแตก” ถึงภาษีศุลกากรจะส่งผลต่อราคาสินค้าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ามากเพียงใด เนื่องจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงไม่แน่นอน

ด้านเว็บไซต์ทำเนียบขาวเผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 15 ก.ค.68 ตามเวลาท้องถิ่น ระบุว่า ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ อเมริกายังคงสามารถเอาชนะภาวะเงินเฟ้อได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ไบเดนได้ขึ้นราคาสินค้ามาหลายปี

“ข้อมูลเดือนมิ.ย.ยืนยันว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อรายปีต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าอยู่ในเกณฑ์ดี”

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อีกหนึ่งเดือน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่เพียง 2.1% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่รัฐบาลทรัมป์ชุดแรก ซึ่งราคาสินค้าอยู่ในระดับต่ำ และทรงตัว และยังคงต่ำกว่าหรือเท่ากับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ทุกเดือน

การเติบโตของค่าจ้างยังคงแข็งแกร่งภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ ค่าจ้างจริงสำหรับพนักงานฝ่ายผลิตและที่ไม่ใช่ผู้ควบคุมดูแลเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

“ราคาสำหรับชาวอเมริกันทั่วไป ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ราคารถยนต์ใหม่และมือสอง รวมถึงค่าโดยสารเครื่องบินที่ลดลงในเดือนที่แล้ว ขณะที่ดัชนีที่อยู่อาศัยรายปีลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบสี่ปี โดยราคาน้ำมันเบนซิน น้ำมันเตา สินค้าโภคภัณฑ์พลังงาน โรงแรม ค่าโดยสารเครื่องบิน ระบบขนส่งสาธารณะ และผักสด ล้วนลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว”

ด้าน จตุพร บุรุษพัฒน์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  กล่าวว่า การเจรจากับสหรัฐยังต้องเดินหน้าต่อไป ขณะเดียวกันต้องมุ่งหาตลาดใหม่ผ่านการเฟ้นสินค้าที่เหมาะแต่ละตลาดเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถเข้าถึงตลาดนั้นๆ ได้จริง ๆ และยังต้องเดินหน้าเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีหรือ เอฟทีเอ โดยเร่งหาข้อสรุปให้ได้เพื่อเป็นแต้มต่อการหาตลาดใหม่ เพราะการส่งออกมี 2 เรื่องที่สำคัญคือ ตลาดและสินค้า ซึ่งสองส่วนนี้ต้องสอดคล้องกัน 

ส่วนการผลิตของไทยเบื้องต้นต้องลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ต้องลดปัจจัยการผลิตเช่น ปุ๋ย ให้ได้อย่างมีนัยสำคัญเพื่อให้ผู้ผลิตในประเทศมีช่วงกำไรที่เพิ่มขึ้น และชัดเจนเพื่อรับมือกับการค้าที่เปลี่ยนไปได้

ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐ ระบุว่า สหรัฐนำเข้าสินค้าผ่านตู้คอนเทนเนอร์ในเดือนมิ.ย.2568 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2,217,675 TEUs (หน่วยตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน 20 ฟุต) เพิ่มขึ้น 1.8% จากเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาแต่ต่ำกว่าระดับของเดือนเดียวกันในปีก่อน เพิ่มขึ้น 3.5%

ส่วนการนำเข้าจากจีนในเดือนมิ.ย.ยังคงซบเซาเช่นกัน อยู่ที่ 639,300 TEUsเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง0.4% นับตั้งแต่สหรัฐกับจีนได้มีการพักสงบศึกทางการค้าเป็นระยะเวลา 90 วัน ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนพ.ค.2568 และกำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 10 ส.ค.2568 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง

ผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้าจากจีนที่สูงขึ้น และการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis (การยกเว้นภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ 

สำหรับการนำเข้าของสหรัฐ จาก 10 ประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อยได้แก่ เวียดนาม เพิ่มขึ้น 7.7% ตามด้วย อินโดนีเซีย 17.3% ไทย 8.6%และอิตาลี 9.0% เยอรมนี และไต้หวัน 2.6% เท่ากัน ด้านประเทศที่มีปริมาณลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น เกาหลีใต้ ลดลง 12.5% และอินเดีย ลดลง 9.6% ส่วนญี่ปุ่น ลดลง 3.0%

อย่างไรก็ตาม การค้าทั่วโลกยังคงต้องเผชิญกับความตึงเครียดทั้งจากเรื่องอัตราภาษี และความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้าก็ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการวางแผนด้านห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งการขนส่งผ่านทะเลแดงยังคงถูกรบกวน และสถานการณ์ถูกซ้ำเติมด้วยความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งที่มีต้นทุนสูงขึ้น และใช้ระยะเวลานานขึ้น

    สำหรับข้อคิดเห็นของ สคต.ชิคาโก ระบุว่า  การนำเข้าสินค้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้นในเดือนมิ.ย.สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการนำเข้าของสหรัฐ และผู้นำเข้าสหรัฐ เริ่มมีการปรับตัวกับห่วงโซ่อุปทานท่ามกลางความผันผวนทางการค้าระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจัยด้านการเร่งการนำเข้าเพื่อเก็บเป็นสินค้าคงคลังในขณะที่อัตราภาษี 10% ยังคงมีผลบังคับใช้ก่อนการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 ส.ค.2568

“การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างทางการค้าโลก และห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากธุรกิจสหรัฐกำลังตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงด้านภาษี และแรงกดดันด้านต้นทุน แม้ผู้นำเข้าสหรัฐ จะพยายามปรับห่วงโซ่อุปทานอย่างช้าๆ ภายใต้แรงกดดันจากภาษีที่ยังคงสูง และความพยายามกระจายแหล่งนำเข้า”

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยด้วยอัตราภาษี 36% ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันในตลาดสหรัฐเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่าง เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่า

โดย สินค้าส่งออกหลักของไทยในตลาดสหรัฐที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ 1. กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ เครื่องปรับอากาศ 2. กลุ่มยานยนต์ (ยางรถยนต์ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์ยานยนต์) 3. กลุ่มอาหาร สินค้าเกษตร ข้าว อาหารกระป๋อง 4. เครื่องแต่งกาย 5. ยางธรรมชาติ

“ทำเนียบขาว” ชี้ “เงินเฟ้อ” อยู่ในเกณฑ์ดี   เมินภาษีทำของแพง “ผู้นำเข้าสหรัฐ” เร่งปรับตัว

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์