ส.อ.ท. ผวาถูกบีบภาษีสหรัฐ 0% ตามอินโดนีเซีย จี้รัฐอัดงบ 3.5 แสนล้าน สู้ศึกการค้า

ส.อ.ท. ผวาถูกบีบภาษีสหรัฐ 0% ตามอินโดนีเซีย จี้รัฐอัดงบ 3.5 แสนล้าน สู้ศึกการค้า

"ส.อ.ท"กังวลหวั่นไทยถูกบีบยอมลดภาษี 0% ตามอินโดนีเซีย ยันยอมรับได้ 0% เฉพาะสหรัฐ และเฉพาะบางสินค้าเท่านั้น เช่น ผลิตภัณฑ์ยา พร้อมเสนอรัฐเร่งจ่ายงบ 1.5 แสนล้านบาท พร้อมอัดซอฟต์โลน 2 แสนล้าน สู้ศึกการค้าโลก จี้คุมเข้มการออกใบอนุญาตต่างๆ สกัดสินค้าสวมสิทธิอย่างจริงจัง

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าโลกที่กำลังเผชิญกับการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง Reciprocal Tariffs และกรณีที่อินโดนีเซีย และเวียดนาม ยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐลงเหลือ 0% นั้น ยอมรับว่าได้สร้างความกังวลให้กับภาคเอกชนไทยอย่างมาก

นายนาวา กล่าวยอมรับว่า เอกชนมีความกังวลเช่นกันในเรื่องนี้ ว่าในอนาคตไทยอาจถูกบีบให้ลดภาษีลงเหลือ 0% เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่นั้น ตน เชื่อว่านายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็คงกังวลเช่นกันแม้ว่าอินโดนีเซียจะได้ดุลการค้ากับสหรัฐน้อยกว่าไทย ซึ่งไทยได้ดุลราว 45,000 ล้านดอลลาร์ ในปีที่ผ่านมา ถือว่ามากกว่าอินโดนีเซีย 2.5 เท่า แต่ก็ยังสงสัยว่าทำไมอินโดนีเซียถึงยอมลดภาษีให้สหรัฐลงทั้งหมด

"สถานการณ์นี้เป็นไปตามที่สหรัฐกล่าวเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเอกชนก็กำลังรอฟังข่าวว่าทางอินโดนีเซียจะออกมาชี้แจงในเรื่องนี้เหมือนเวียดนามหรือไม่ จึงต้องจับตาดู ดังนั้น ยอมรับว่า หากไทยต้องโดนสูตรคิดภาษีแบบอินโดนีเซีย ก็ถือเป็นประเด็นที่กังวลเพิ่มมากขึ้น แต่ก็เข้าใจว่าอยู่ในทีมเจรจา หากเป็นไปอย่างนั้นอาจเป็นโจทย์ที่ยากกว่าเรื่องของ Local Content แต่เมื่อรู้โจทย์ก็คงแก้ได้ แม้ว่าจะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ทุกคนก็เป็นกำลังใจ เพราะเราได้ดุลการค้ามากกว่าอินโดนีเซีย แต่เขายอมขนาดนั้นก็สงสัย ยังคงเชื่อมั่นทีมไทยแลนด์ในการเจรจา    

นายนาวา ตอบคำถามที่ว่า การที่อินโดนีเซียได้ลดภาษีนำเข้าศุลกากรสหรัฐลง 19% จากเดิม 32% ทำให้เกิดการเปรียบเทียบและสร้างความหนักใจหรือไม่ นายนาวา กล่าวว่า อาจจะสร้างความหนักใจให้กับทีมไทยแลนด์มากพอสมควร เพราะแม้ว่าไทยจะได้ดุลการค้าเยอะกว่าอินโดนีเซีย แต่อินโดนีเซียมีการพึ่งพิงตลาดสหรัฐน้อยกว่าเวียดนามซึ่งพึ่งพาตลาดส่งออกสหรัฐมากกว่า 30% ในขณะที่ไทยส่งออกไปสหรัฐราว 18% ตนจึงเชื่อว่าทีมเจรจาของไทยมีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่ดีเยี่ยม 

ทั้งนี้ จากการหารือกับภาคเอกชนทั้ง 47 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้ส่งข้อเสนอแนะ และข้อมูลให้กับทีมรัฐบาลไปหมดแล้ว และเชื่อว่าจะเป็นข้อมูลที่ดี และสนับสนุนให้กับทีมเจรจาไทยแลนด์ได้อย่างดี แต่ในส่วนของการที่ประเทศไทยจะเทหน้าตักยอมลดภาษีนำเข้า 0% หรือไม่นั้น ส.อ.ท. ยืนยันว่า เรายอมแค่สหรัฐ 0% ประเทศเดียว และเป็นแค่บางรายการเท่านั้น โดยสินค้าที่ยอมลดภาษี 0% เช่น ผลิตภัณฑ์ยา เพราะสหรัฐมีความสามารถที่จะผลิตยาที่มีคุณภาพได้อยู่แล้ว ส่วนกลุ่มสินค้าที่ไทยไม่ควรลดภาษีนำเข้าเป็น 0% คือ กลุ่มเคมีภัณฑ์ที่มีการลงทุนสูง และอยู่ในช่วงทรานส์ซิชั่น เป็นต้น

สำหรับข้อเสนอแนะเพื่อรับมือโดยเฉพาะมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันคือเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และซอฟต์โลน โดยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท โดยมาตรการซอฟต์โลนอยากให้เห็นในวันนี้หรือพรุ่งนี้เลย ซึ่งมาตรการนี้จะต้องมีความชัดเจน และเข้าสนับสนุนให้ตรงจุด

"เรื่องเงินเยียวยานี้มีทางคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยสมาคมธนาคารไทย ได้ยืนยันว่ามีสภาพคล่องเหลือเพียงพอ แต่ต้องดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติธนาคาร  ด้วยความโชคดีที่เศรษฐกิจของเราตอนนี้ยังมีธนาคารที่แข็งแกร่ง สามารถค้ำจุนได้ และธนาคารจะพยายามปล่อยสินเชื่อ รวมถึงรัฐบาลจะปล่อยอย่างรอบคอบ และรวดเร็วที่สุดในวันนี้"

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สมาชิกส.อ.ท.มักจะพบปัญหาที่ว่า สถาบันการเงินไม่ค่อยปล่อยสินเชื่อ "เหมือนเจอฝนตกหนักพายุมาจึงไม่อยากให้ธนาคารหุบร่มกับเรา" ดังนั้น เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ เชื่อว่าธนาคารไทยจะพิจารณาเงื่อนไขอย่างเหมาะสม แต่สิ่งสำคัญคือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับลูกค้า และการปรับตัวของลูกค้าเอง เพื่อช่วยให้ธนาคารมีการปล่อยซอฟต์โลนมากขึ้น ซึ่งในที่ประชุม กกร. ล่าสุด พบว่าสภาพคล่องยังสามารถปล่อยสินเชื่อได้ แต่ต้องรอบคอบ และระมัดระวังในแต่ละภาคส่วน ส่วนจะเห็นความชัดเจนเมื่อไรคงต้องสอบถามสมาคมธนาคารไทย แต่ส่วนตัวผมอยากเห็นวันนี้พรุ่งนี้เลย

นายนาวา กล่าวถึงประเด็นสินค้าสวมสิทธิ (Transshipment) ที่เป็นประเด็นหลักในการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่า เอกชนเองอยากได้อัตราภาษีที่ต่ำที่สุด แต่ไม่ขอตั้งเป็นตัวเลขเพื่อไม่ให้ไปกดดันทีมเจรจา แต่มี Benchmark อย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียที่ไทยอยากให้ได้เท่าๆ ประเทศคู่แข่ง เพราะเป็นคู่แข่ง และเพื่อนบ้านกัน ที่ไม่นับสปป.ลาว และเมียนมา เป็นต้น

สำหรับมาตรการ การขนส่งสินค้าผ่านประเทศอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนั้น ขณะนี้ ทุกทบวง/กระทรวง ตระหนักดี โดย ส.อ.ท. ได้มีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องการออกใบ C/O (Certificate of Origin) และการออกใบอนุญาตทั่วไปเพื่อความเข้มงวด ดังนั้น น่าจะช่วยลดการส่งออกไปสหรัฐได้ ถือเป็นความเข้มงวดที่ทั้งกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังรับทราบดี ดังนั้น จึงน่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น ในเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องของกระทรวงพาณิชย์อย่างเดียว

นอกจากนี้ การที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดย "ทีมสุดซอย" ได้เข้าจับกุมสินค้าผิดกฎหมาย หรือด้อยมาตรฐานนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เจอสินค้า Transshipment ที่จ้างคนไทยน้อย นอกจากนี้ สินค้า Made in Thailand ก็เป็นแต้มต่อที่สำคัญ เอกชนพบบางโรงงานที่เป็นโรงงานจากต่างชาติที่สวมสิทธิ ซึ่งนางเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. ก็สั่งยกเลิกเพิกถอนใบ C/O ไปแล้วเช่นกัน ดังนั้น หากกระทรวงพาณิชย์, กระทรวงการคลัง. กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เข้มงวดในการออกใบส่งเสริมการลงทุนก็จะสามารถระงับสินค้าในกลุ่มนี้ได้ และเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องของกระทรวงใดกระทรวงเดียว 

"หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างเข้มงวดแล้วยังไม่ได้ผล ส.อ.ท. จะดำเนินการฟ้องร้อง และทวงถามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ จะดึงเรื่องของใบ C/O กลับไปดำเนินการเอง 6 เดือน แล้วค่อยโอนมาให้ ส.อ.ท. และสภาหอการค้าไทย ให้ช่วยดูแลต่ออย่างเข้มงวดต่อไป"

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์