“พาณิชย์” ยันไม่มีดีลตั้งฐานทัพ แลกลดภาษีทรัมป์ เน้นเจรจาการค้า

“พาณิชย์” ยันไม่มีดีลตั้งฐานทัพ แลกลดภาษีทรัมป์ เน้นเจรจาการค้า

พาณิชย์ ยัน ไม่มีดีลตั้งฐานทัพในไทย เน้นเจรจาการค้าเพียงอย่างเดียว พร้อมเตรียม 3 ข้อมูลหลักให้ทีมไทยแลนด์เจรจาอีกครั้ง พร้อมตรวจสอบใช้ local content ป้องกันสวมสิทธิ์ เผย 10-15 กลุ่มอุตสาหกรรม เสี่ยงใช้ local content ในประเทศน้อยกว่านำเข้า ขอให้มั่นใจเจรจาประเทศได้ประโยชน์สูงสุด

นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการพาณิชย์ กล่าวถึงกระแสข่าวสหรัฐฯ ยื่นเงื่อนไขขอใช้พื้นที่ฐานทัพเรือพังงาเป็นฐานทัพปฏิบัติการทางเรือ เพื่อหวังแลกดีลเจรจาลดภาษีตอบโต้ให้ต่ำกว่า 36% ว่า จากการหารือกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 ก.ค.68 ยืนยันว่า การเจรจาภาษีทรัมป์จะเป็นการเจรจาเฉพาะประเด็นการค้าอย่างเดียว ไม่มีเรื่องของความมั่นคงมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เงื่อนไขที่สหรัฐฯจะมาตั้งฐานทัพที่ไทยไม่เป็นความจริง  นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้เตรียมพร้อมของข้อมูลให้กับทีมไทย 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.ข้อมูลสินค้า และการเปิดตลาดต่างๆ   2.การกำหนดกลยุทธ์ในการเจรจา และ3.มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ

 สำหรับเรื่องแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า ที่ไทยต้องเข้มงวดการใช้สัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) และสหรัฐฯให้ความสำคัญมากนั้น กระทรวงพาณิชย์จะเร่งจัดทำมาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มข้น เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลการใช้วัตถุดิบและส่วนประกอบในประเทศที่ถูกต้อง ชัดเจน น่าเชื่อถือได้ เพื่อใช้ประกอบการเจรจากับสหรัฐฯ โดยขณะนี้ ได้ขอข้อมูลสัดส่วนการใช้ Local content จากภาคอุตสาหกรรมมาแล้ว และพบว่า มี 10-15 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง เพราะใช้วัตถุดิบในประเทศน้อยกว่าจากต่างประเทศ

ทั้งนี้ สหรัฐฯได้กำหนดการใช้  Local content สำหรับสินค้าที่จะส่งออกไปสหรัฐฯ เป็น 3 กลุ่ม คือ 1.วัตถุดิบของไทย, วัตถุดิบที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐฯมาผลิตเป็นสินค้าส่งออก และวัตถุดิบจากประเทศพันธมิตร ที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ต่ำกว่าไทย ภายใต้หลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (Regional Value Content : RVC)  2.วัตถุดิบจากจีน และ3.วัตถุดิบจากประเทศอื่น ที่ไม่อยู่ใน 2 กลุ่มแรก ซึ่งไทยต้องพิจารณาการใช้สัดส่วนวัตถุดิบอย่างละเอียด รอบคอบ เพราะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก

 “อยากให้คนไทยอย่ากังวลกับการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ และมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะมีทิศทางที่จะเจรจาได้ และเป็นประโยชน์กับประเทศแน่นอน แม้ว่าหลายอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบ แต่รัฐบาลจะยึดหลักประโยชน์ของประเทศและหลักควาสมดุลของการค้ากับทุกกลุ่มประเทศที่ไทยทำการค้าด้วย โดยไม่เอียงไปประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะการค้ากับจีน ไทยจะไม่ผลักจีนออกจากการเป็นห่วงโซ่อุปทาน เพราะไทยกับจีนมีความสัมพันธ์การค้ามายาวนานเช่นเดียวกับสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าอื่นๆ ด้วย ซึ่งไทยก็ต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับจีน และประเทศคู่ค้าอื่นๆ ให้เข้าใจ”

ส่วนกรณีที่ไทยยื่นข้อเสนอลดภาษีนำเข้าให้สหรัฐฯเป็น 0% นั้น ไทยได้เสนอไป 90% ของรายการสินค้า หรือกว่า 10,000 พิกัดรายการ โดยเป็นสินค้าที่ขายกันทั่วโลก และเป็นสินค้าสินค้าที่ไทยเปิดเสรีกับประเทศอื่นอยู่แล้ว ส่วนอีก 10% เป็นสินค้าอ่อนไหว ซึ่งรัฐบาลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะอาจจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเสี่ยง แต่จะพิจารณาให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด