'พิชัย' ชงชื่อ 'วิทัย รัตนากร' เข้า ครม.เป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่

"พิชัย" ชง ครม.วันนี้เคาะชื่อ วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ แทน "เศรษฐพุฒิ" เริ่มทำงานในหน้าที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติ 1 ต.ค.68 นี้
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (15 ก.ค.68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม มีวาระที่เข้าสู่การประชุม ครม.ที่สำคัญคือนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เสนอชื่อบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
โดย นายพิชัย จะเสนอชื่อ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็น ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ โดยจะดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ต.ค.68 นี้ แทนนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ ธปท. คนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในวันที่ 30 ก.ย.68 นี้
สำหรับ ประวัติ นายวิทัย รัตนากร ปัจจุบันอายุ 54 ปี ประวัติการศึกษา ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท กฎหมายธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท การเงิน Drexel University, U.S.A. และ ปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผ่านการอบรมหลักสูตร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 66
หลักสูตร ผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 28
หลักสูตร ผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์ (Top Executive Program in Commerce and Trade: TEPCoT) รุ่นที่ 15
หลักสูตร นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง (นยปส.) รุ่นที่ 7
หลักสูตร ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุ่นที่ 17
ก่อนหน้านี้นายวิทัยได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "กรุงเทพธุรกิจ" เกี่ยวกับแนวคิดสำคัญสำหรับบทบาท ธปท. ว่า “ต้องเป็นอิสระแต่ไม่โดดเดี่ยว”
โดย ธปท.ต้องมีอิสระในการตัดสินใจแต่ต้องทำงานร่วมทุกภาคส่วนเพื่อเป้าหมายระยะยาว และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่นโยบายการเงินอย่างเดียวแก้ไม่ได้ และต้องทำงานร่วมกับนโยบายการคลัง, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) , กระทรวงพาณิชย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกรับอานิสงส์บางส่วนจากการส่งออกที่เติบโตดีช่วง 3-4 เดือนแรก และจำนวนนักท่องเที่ยวเดือนม.ค.- มี.ค.แต่แนวโน้มครึ่งปีหลังน่ากังวลเพราะไม่แน่นอน เช่น ภาษีสหรัฐ สงครามยืดเยื้อ และความไม่แน่นอนการเมืองในประเทศ
ทั้งนี้ ธปท.รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคได้ดี เช่น ดูแลอัตราเงินเฟ้อต่ำ และทำให้สถาบันการเงินแข็งแกร่ง แต่บริบทเศรษฐกิจเผชิญปัจจัยภายนอกที่ซับซ้อนขึ้นอาจต้องเพิ่มบทบาทดูแลการเติบโตเศรษฐกิจมากขึ้น
"สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันหนักกว่าวิกฤติปี 2540 ที่ส่วนใหญ่กระทบคนรวย และสถาบันการเงิน แต่วิกฤติปัจจุบันกระทบคนส่วนใหญ่ ในขณะที่ไทยมีปัญหาขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว หนี้ครัวเรือนสูง และปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งการแก้ปัญหาต้องคิดใหม่ทำใหม่ และมีความร่วมมือทุกภาคส่วน” นายวิทัย กล่าว
“คุณสู้เราช่วย” ผลลัพธ์ยังไม่ปัง
สำหรับโครงการ “คลินิกแก้หนี้” ไปจนถึง “คุณสู้ เราช่วย” บรรเทาปัญหาหนี้ครัวเรือนระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นแก้ปัญหาได้หมด โดยช่วยลูกหนี้ที่ได้รับอานิสงส์ และได้รับการแก้ไขหนี้แล้วหลายแสนคน แต่ยังมีลูกหนี้หลายแสนคนเข้าไม่ถึงโครงการ
ส่วนลูกหนี้ออมสินได้ดำเนินโครงการนี้ไปแล้ว 33% ของระบบสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์รวมกัน บางส่วนของโครงการทำงานได้ดี แต่ไม่สามารถกล่าวได้ว่าช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งหมด
นโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินมีบทบาทต่างกัน โดยนโยบายการคลังออกได้เร็วยิงตรงเป้า และเห็นผลในเวลาสั้น ส่วนนโยบายการเงินเป็นภาพใหญ่ เช่น การลดดอกเบี้ย กว่าจะเกิดผล 6-12 เดือน แต่ 2 ส่วนต้องทำงานพร้อมกัน
“การลดดอกเบี้ย อัดฉีดเงินหรือลดภาษีอย่างเดียวแก้ไม่ได้หมด ต้องประสานระหว่างนโยบายการเงิน การคลัง และมาตรการจากหน่วยงานกำกับอื่นไปทิศทางเดียวกัน และต่อเนื่อง และนโยบายการเงินควรชัดเจนและส่งสัญญาณเชิงรุกขึ้น”
นายวิทัย กล่าวว่า มุมมองแบงก์ที่ดูแลลูกค้ากลุ่มฐานราก การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.ช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่การลดดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งที่ผ่านมา ช่วยบรรเทาได้ และสิ่งสำคัญอยู่ที่การส่งสัญญาณไปตลาดที่ชัดเจนว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นมาตรการต่อเนื่องและระยะยาว
รวมถึงการส่งผ่านไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งเริ่มมีผลที่จำกัดต่างจากช่วยดอกเบี้ยขาขึ้นที่ปรับขึ้นได้เต็มที่ และรวดเร็ว
“สิ่งนี้อาจเป็นผลมาจากการที่ธนาคารต้องใช้เวลาวิเคราะห์ผลกระทบ และเศรษฐกิจที่ไม่ดีทำให้ต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิตสูงขึ้นทำให้สถาบันการเงินระวังปล่อยสินเชื่อขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายสินเชื่อ แม้ดอกเบี้ยจะลดลง”
แนะ 3 แนวทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
นายวิทัย กล่าวว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในทางปฏิบัติมี 3 แนวทาง ได้แก่
1.เศรษฐกิจต้องเติบโต ซึ่งหมายความว่าประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นหาก Nominal GDP เติบโต 4% ต่อเนื่อง 2-3 ปี จะทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนลดได้
2.ลดดอกเบี้ยเงินกู้ โดยช่วยให้ลูกหนี้ตัดเงินต้นได้มากขึ้นแม้จ่ายเท่าเดิม ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และทำให้สภาพเงินส่วนบุคคลดีขึ้น แล้วช่วยสะสม และลดหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่ลง
3.มาตรการอื่นที่ต้องเสริม เช่น การโอนหนี้ไม่มีหลักประกันที่ธนาคารสำรองหมดแล้วออกมาให้หน่วยงานอื่นดูแลในราคาถูก เช่น 3-7% แล้วนำมาปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว
นอกจากนี้ ต้องเสริมให้สถาบันการเงินขยายสินเชื่อง่ายขึ้น โดยขยายบทบาทบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อเพิ่มการค้ำประกันสินเชื่อหลายประเภทขึ้น รวมถึงกลุ่ม non-banks และพิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับธุรกิจที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น ผู้ส่งออก และ SMEs ที่ถูกผลกระทบจากสินค้าต่างประเทศราคาถูก โดยจทำให้ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น
ชั่งน้ำหนัก ลดดอกเบี้ย ก่อหนี้เพิ่ม
นายวิทัย กล่าวว่า ธปท.อาจกังวลว่าการลดดอกเบี้ยมากเกินไปจะทำให้ประชาชนก่อหนี้เพิ่ม อย่างไรก็ตามผู้ให้ข้อมูลเชื่อว่าโดยรวมแล้วประโยชน์ของการลดดอกเบี้ยเพื่อแก้หนี้มีน้ำหนักมากกว่า โดยการลดดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือสำคัญ และจำเป็นในการบรรเทาหนี้ครัวเรือน และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนสูง แต่ความสำเร็จแท้จริงเกิดขึ้นได้เมื่อส่งผ่านถึงดอกเบี้ยเงินกู้
ขณะที่เศรษฐกิจซบเซา และกังวลจะซึมลึกนาน โดยอัตราเงินเฟ้อต่ำและปี 2568 มีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบล่างของเป้าหมาย 1% เป็นสภาวะ “เงินเฟ้อต่ำ การเติบโตต่ำ” (low inflation, low growth) ขณะที่เครื่องยนต์หลักอย่างท่องเที่ยว และส่งออกอาจไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักปี 2568-2569
“เศรษฐกิจตอนนี้เป็นความท้าทาย บางภาคส่วนดีมากอย่างสถาบันการเงินแข็งแกร่งมาก แต่ภาคส่วนอื่นที่เป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยดี”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







