บีโอไอ ชูยุทธศาสตร์ “ผูกซัพพลายเชนสหรัฐ” ฝ่าผลกระทบกำแพงภาษี

บีโอไอเดินหน้าสู้ศึกภาษีสหรัฐ ชูกลยุทธ์ "ผูกซัพพลายเชนกับสหรัฐ" ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตั้งเป้าผลักดันไทยสู่การเป็นพันธมิตรสำคัญในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมชี้ 5 จุดแข็งที่ไม่ใช่ภาษี ดึงดูดการลงทุนระยะยาว
KEY
POINTS
- บีโอไอเสนอยุทธศาสตร์ "ผูกซัพพลายเชนกับสหรัฐ" เพื่อรับมือผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษี โดยตั้งเป้าให้ไทยเป็นพันธมิตรสำคัญในอุตสาหกรรมหลัก
- มุ่งเน้นดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์, ดิจิทัล และ AI, ยานยนต์ (โดยเฉพาะ EV), เทคโนโลยีชีวภาพ และการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค
- ชี้ 5 ปัจจัย ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน ความพร้อมของซัพพลายเชน บุคลากร สิทธิประโยชน์ภาครัฐ และการเข้าถึงตลาด เป็นจุดแข็งสำคัญของไทยที่เหนือกว่าประเด็นด้านภาษี
วันที่ 14 ก.ค.2568 ภายในงานเสวนาโต๊ะกลม “กรุงเทพธุรกิจ Roundtable: The Art of (Re)Deal” นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เปิดเผยถึงแนวทางการรับมือ และดึงดูดการลงทุน ท่ามกลางสถานการณ์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งประเทศไทยถูกกำหนดเพดานอัตราภาษีไว้ที่ 36% และยังอยู่ระหว่างการเจรจา
นายนฤตม์ กล่าวว่า มาตรการภาษีของสหรัฐส่งผลกระทบในหลายมิติ ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจลงทุน นอกเหนือไปจากอัตราภาษีตอบโต้ ยังมีภาษีการส่งผ่านสินค้า (Transhipment) และภาษีรายสินค้าตามมาตรา 232 เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงภายใต้กฎหมาย Trade Expansion Act ซึ่งปัจจุบันมีการประกาศแล้วในอะลูมิเนียม ทองแดง รถยนต์ และชิ้นส่วนสำคัญบางชิ้น รวมถึงคอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ที่ปัจจุบันได้รับการยกเว้นแต่ในอนาคตไม่แน่นอน
อย่างไรก็ดี อัตราภาษีมาตรา 232 นี้เท่ากันทุกประเทศ ทำให้ไม่เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างประเทศ แต่เป็นต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นของภาคธุรกิจ ทำให้บางบริษัทอาจพิจารณาไปลงทุนตั้งฐานผลิตในสหรัฐที่มีอัตราภาษี 0%
อีกทั้งยังมีเรื่องการจำกัดการส่งออกชิป AI ซึ่งไทยอยู่ในรายชื่อประเทศที่ได้รับผลกระทบ แต่ปัจจัยด้านภาษีไม่ใช่ตัวตัดสินเพียงหนึ่งเดียวในการลงทุน
นอกจากนี้ ยังมี Global Minimum Tax ที่ประกาศใช้เป็น พ.ร.บ.ภาษีส่วนเพิ่ม เก็บภาษีขั้นต่ำ 15% ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้น บีโอไอจึงได้เตรียมแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่ม "เครดิตภาษี" มาช่วยบรรเทาผลกระทบ
นายนฤตม์ เน้นย้ำว่าทิศทางจากนี้ไป ประเทศไทยจะต้อง "ผูก Supply Chain กับสหรัฐให้มากขึ้น" ทั้งการลงทุนสหรัฐ ในไทย และการลงทุนไทยในสหรัฐ เป้าหมายสำคัญคือทำให้ไทยเป็นพันธมิตรใน Supply Chain ของสหรัฐ ในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น Semiconductor อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และด้านดิจิทัล และให้สหรัฐ มองไทยเป็นฐานในการขยายตลาดเข้าสู่ ASEAN
ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของสหรัฐในไทยมี 135 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 150,000 ล้านบาท และหากรวมบริษัทสหรัฐที่ลงทุนผ่านสิงคโปร์จะมากกว่า 200,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล ยานยนต์ และอาหาร
สำหรับทิศทางในอนาคต ประเทศไทยยังคงมุ่งเป้าไปที่บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยี (Tech-based) โดยมี 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐ
1. Semiconductor และ Advanced Electronic ตั้งแต่การผลิตชิป ซึ่งไทยโดดเด่นด้านการประกอบ และทดสอบขั้นสูง รวมถึงการผลิตฮาร์ดดิสก์สำหรับ Data Center และชิ้นส่วนการผลิตโน้ตบุ๊ก
2. Digital และ AI ทั้ง Data Center ระดับ Hyperscale และบริการ Cloud มาตรฐานสูง
3. ยานยนต์ ทั้งรถยนต์ของสหรัฐ (Ford) และ Big Bike อย่าง Harley-Davidson ซึ่งมีการลงทุนในไทยอยู่แล้วและมีแผนอัปเกรดไปสู่ EV รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์
4. อุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio-Technology) ผสมผสานเทคโนโลยีสหรัฐ กับวัตถุดิบทางการเกษตร และความหลากหลายทางชีวภาพของไทย รวมถึงไบโอเทคทางการแพทย์
5. การเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ เชิญชวนบริษัทสหรัฐ มาตั้งสำนักงานใหญ่ (Regional Headquarter) หรือเป็นฐานศูนย์วิจัยในภูมิภาค (R&D)
ชี้ 5 ด้านที่สำคัญกว่าภาษี
นายนฤตม์ เน้นย้ำว่า ภาษีไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุน แต่มีอย่างน้อย 5 เรื่องหลักที่สำคัญ และประเทศไทยมีความได้เปรียบในภูมิภาค
1. โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งน้ำ ไฟ นิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ และสนามบิน
2. Supply Chain โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลัก เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
3. บุคลากร ทั้งแรงงานฝีมือ วิศวกร ช่างเทคนิค รวมถึงมาตรการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญต่างชาติผ่าน Smart Visa และ Residence
4. สิทธิประโยชน์ และมาตรการจากภาครัฐ ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้
5. การเข้าถึงตลาด (Market Access) ไทยมีตลาดในประเทศขนาดใหญ่เกือบ 70 ล้านคน มี FTA 17 ฉบับ ครอบคลุม 24 ประเทศ และกำลังเจรจากับ EU เกาหลี และแคนาดา
“หากไทยสามารถเจรจาภาษี Reciprocal Tariffs อยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ก็คิดว่า 5 ปัจจัยที่กล่าวมานี้จะเป็นจุดแข็งของไทย ทำให้เราเป็นประเทศดึงดูดการลงทุนที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาค”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







