'พิชัย'เพิ่มข้อเสนอเจรจาภาษีสหรัฐเปิดตลาด 0% เพิ่มบางรายสินค้า

‘พิชัย‘แย้มข้อเสนอเพิ่มเติมส่งให้สหรัฐเปิดตลาดสินค้า 0% เพิ่มในบางรายการที่สหรัฐร้องขอ เช่น ปลานิล ลำไย รถยนต์พวงมาลัยซ้าย เชื่อไม่กระทบตลาดในประเทศ
KEY
POINTS
- "พิชัย" แย้มข้อเสนอเพิ่มเติมส่งให้สหรัฐเปิดตลาดสินค้า 0% เพิ่มในบางรายการที่สหรัฐร้องขอ เชื่อไม่กระทบตลาดในประเทศ
- รับสหรัฐร้องขอเพิ่มการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐเข้าสู่ตลาดมากขึ้น (Market Access)
- เล็งเพิ่ม Local Content พร้อมป้องกันสินค้าสวมสิทธิอย่างเข้มงวด
- พร้อมสั่งแบงก์รัฐเตรียมซอฟต์โลน 2 แสนล้าน รับมือผลกระทบภาษีทรัมป์
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานเสวนาโต๊ะกลม “The Art of (Re) Deal” จัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ” วันนี้ (14 ก.ค.68) ว่าในเรื่องของการเจรจาภาษีกับสหรัฐนั้นใช้เวลาในการเจรจามากว่า 100 วันแล้ว และจะครบเส้นตายอีกครั้งในวันที่ 1 ส.ค.68 นี้ ที่ผ่านมายังมีความไม่ชัดเจน และไม่มีความแน่นอน และยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร
สิ่งที่เราเห็นได้ในช่วงที่ผ่านมาคือ ความพยายามของสหรัฐในการลดการขาดดุลการค้า โดยต้องการเพิ่มการเปิดตลาดเพื่อให้สินค้าสหรัฐเข้าสู่ตลาดต่างๆ มากขึ้น (Market Access) ที่ต้องมีการตกลงกัน ในเรื่องของการเปิดตลาด และต้องมีการคุยเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) ทุกขั้นตอน โดยในการหารือในครั้งนี้ยอมรับว่าสหรัฐใช้การเจรจาที่เป็นข้อเสนอฝ่ายเดียว ที่ไม่เหมือนกับการเจรจาข้อตกลงเสรีทางการค้า (FTA) และสหรัฐเสนอว่าจะต้องการสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่เหมือนกับการเจรจาที่ผ่านมาที่เป็นการเจรจาที่ฟังข้อเสนอของทั้งสองฝ่าย
นายพิชัย ย้ำว่าเราต้องรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน รักษาสมดุล และผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เราก็ต้องทำให้ได้โดยยึดประโยชน์ร่วมกัน
“ถ้าเราตกลงไม่ได้จะเจอกำแพงภาษีอย่างแน่นอน และมีข้อเสนออื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี และไม่ใช่ NTB ธรรมดาๆ แต่มีข้อเสนอจากสหรัฐเข้ามา ไทยเราต้องถามตัวเองว่าเรามีศักยภาพพอแค่ไหน เพราะตอนนี้เราพึ่งพาการส่งออกมาก และเราส่งออกไปสหรัฐถึง 18% เราต้องมีการเจรจา ในเรื่องของหลักการสถานการณ์คือ ต้องเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี และต้องดูเงื่อนไข ว่าอะไรจะกระทบกับประเทศที่ 3 และประเทศคู่ค้าอื่นๆ เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ ต้องดูว่ามีการเจรจาที่ไม่เป็นการชักศึกเข้าบ้าน”
ทั้งนี้ ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐอยู่บนหลักการที่ทีมเจรจายึดอยู่ ดังนี้
1.ไทยเราต้องเปิดตลาดให้กว้างขึ้น ในสินค้าที่สหรัฐอยากขาย และเราอยากซื้อ แต่ไทยเราต้องดูเรื่องของการเปิดตลาดที่ไม่กระทบกับการทำ FTA ของประเทศต่างๆ ที่ทำกับไทย โดยการเสนอให้สหรัฐนำสินค้าเข้ามาในระดับ 0% ที่ไทยผลิตไม่ได้ และต้องนำเข้า หรือของที่ผลิตในไทยแล้วไม่เพียงพอ โดยการป้องกันภาคการผลิตของไทยโดยเฉพาะในภาคเกษตรนั้นยังมีอยู่
“ข้อเสนอใหม่ที่ไทยเราส่งไปให้พิจารณาโดยเราเปิดตลาดให้สหรัฐแล้ว 63-64% และเพิ่มเป็น 69% เรามีการเปิดตลาดสินค้าบางอย่างที่เราไม่เคยเปิด เราก็ต้องเปิดมากขึ้น เช่น ลำไย ปลานิล ตามที่เขาขอไว้ ส่วนตลาดยานยนต์ เรากำลังคิด เดิมเราผลิตเยอะก็จะไม่ได้เปิดให้ แต่ถ้าเราเปิดให้ คิดว่าถ้าเปิดเขาก็คงเข้ามาไม่ได้ง่าย เช่น รถพวงมาลัยซ้าย เขามีตลาดอื่นทั่วโลก คงไม่ได้เข้ามาขายที่เรามาก” นายพิชัย กล่าว
2.ส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจไทยในสหรัฐมากขึ้น เพราะสหรัฐต้องการส่งออกมากขึ้น และทำฐานผลิตในประเทศสหรัฐให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เช่น การลงทุนเรื่องเกษตรแปรรูป เรื่องของสินค้าที่เราต้องซื้อจากสหรัฐ โดยไทยเราดูในเรื่องของพลังงานมากขึ้น โดยปัจจุบันสหรัฐมีปริมาณสำรองเรื่องของพลังงานค่อนข้างมากทำให้ราคาพลังงานมีราคาต่ำ เช่น ก๊าซธรรมชาติขายอยู่แค่ 2-3 ดอลลาร์ต่อล้านBTU ถูกกว่าราคาตลาดที่ 10-11 ดอลลาร์
3.การให้ความสำคัญกับการป้องกันการสวมสิทธิสินค้า โดยข้อเสนอของสหรัฐนั้นจะให้มีการเพิ่มการใช้วัตถุดิบหรือส่วนประกอบที่มีการผลิตในประเทศไทย (Local content) เป็นโจทย์ที่เราต้องดูว่าสหรัฐจะกำหนดในสัดส่วนเท่าไร โดยอาจจะเพิ่มจาก 40% ในปัจจุบัน อาจเพิ่มเป็น 60-70% ที่เป็นต้นทุนที่จะใช้ Local content จากประเทศไทย และประเทศต่างๆ ที่สหรัฐกำหนดมากขึ้น เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ
ซึ่งตัวอย่างที่เห็นคือ สินค้าจากเวียดนาม ที่ใช้ Local Content น้อยมาก ซึ่งหมายความว่าเป็นสินค้าที่มีการสวมสิทธิมาก จึงเจอภาษีของสินค้าที่ผ่านมาทางสูงถึง 40% ในขณะที่ไทยมีการพึ่งพาตัวเองมากขึ้นในการผลิต และทำให้ซัพพลายเชนที่เป็น Local Content สูงขึ้น ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปเรียนรู้การผลิต เป็นโอกาสในการพัฒนาการผลิตในประเทศด้วย
“ข้อเสนอที่เสนอไปแล้ว จะมีผลผูกพันระยะยาว และจะต้องเสนอเรื่อง Win Win แม้ว่าผู้ที่เราเสนอ จะอยาก Win อย่างเดียวแต่เราต้องดูในระยะยาวที่ผูกพัน เราไปในอนาคตด้วย” นายพิชัย กล่าว
เตรียมซอฟต์โลน 2 แสนล้าน รับผลกระทบ
นายพิชัย กล่าวต่อว่าในการเยียวยาผู้ประกอบการ ที่ต้องเจาะไปถึง SMEs และภาคเกษตร โดยให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเตรียมซอฟต์โลนไว้ประมาณ 2 แสนล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.01% เพื่อช่วยเหลือทั้งการลงทุน ช่วยการจ้างงาน การบริหารสินค้าคงคลัง และมาตรการอื่นๆ ของสถาบันการเงิน มาตรการเยียวยาต่างๆ ก็มีการ เตรียมการมาระยะหนึ่งแล้วโดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้จากระดับปกติที่ดอกเบี้ย 2% ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มเติมจากมาตรการที่วางไว้
"เรื่องนี้เป็นยาขม ที่ทุกประเทศโดนหมด ดังนั้นเราต้องเข้าใจและเดินไปในทิศทางเดียวกัน ตัดสินใจยึดถึงผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก แต่ไม่มีอะไรได้มา 100% การจะได้อะไรมาบางอย่างก็ต้องยอมสูญเสียไปบ้าง เป็นแบบ Zero-Sum Game" นายพิชัย กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







