‘TDRI’ ชี้โจทย์ยาก 'ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่' ภาษีทรัมป์ – ดูแลค่าเงินบาท

“ทีดีอาร์ไอ” ชี้ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่เจอโจทย์ท้าทายภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เชื่อไทยโดนภาษีสูงกว่า 20% ต้องเตรียมมาตรการรับมือทั้งดอกเบี้ยมาตรการอื่น
KEY
POINTS
- “ทีดีอาร์ไอ” ชี้ภารกิจผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่เจอโจทย์ท้าทายภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เชื่อไทยโดนภาษีสูงกว่า 20%
- ระบุต้องใช้เครื่องมือทั้งลดดอกเบี้ย และที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย
- รวมทั้งต้องดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสม
- มั่นใจแบงก์ชาติคงความเป็นอิสระแม้การเมืองกดดัน
ประเทศไทยกำลังจะมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีมติเห็นชอบตามที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เสนอชื่อ ระหว่างดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท.และนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงการเข้ามารับตำแหน่งของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่จะเจอสถานการณ์ของการปรับขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐที่จะกระทบกับเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก
ทั้งนี้ ธปท.เพิ่งจะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 จาก 2.3% หรือ 1.6% เนื่องจาก ธปท.มองว่าไทยคงไม่ได้ถูกอัตราภาษีจากสหรัฐแค่ 18% เหมือนที่คาดการณ์ไว้เดิม ซึ่งตนเองคิดว่าอัตราภาษีที่สหรัฐจะเรียกเก็บสุดท้ายแล้วจะไม่ต่ำกว่าระดับ 20% ดังนั้นการขยายตัวของภาคส่งออกของไทยจะต้องชะลอตัวอย่างมาก เพราะผู้ประกอบการไทยยังหาตลาดอื่นทดแทนไม่ได้
“โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจ และรายได้ของคนไทย ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่เข้ามาในช่วงเวลาที่ต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้”
อย่างไรก็ตามเครื่องมือของ ธปท.เองในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้นไม่ได้มีมากเหมือนกับนโยบายการคลัง โดยเครื่องมือหลัก คือ
1.การแก้ปัญหาโดยใช้ดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งหากเรื่องของประมาณการเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะลดลงมาก การประมาณการของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ผู้ว่าฯ ธปท.จะเป็นผู้เสนอให้กับกรรมการใน กนง.พิจารณา
ทั้งนี้ มีความจำเป็นที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอีก เพื่อช่วยประชาชนที่มีหนี้อยู่ให้มีภาระน้อยลง ซึ่ง กนง.อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยลง 2-3 ครั้ง ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ซึ่งเรื่องนี้คงช่วยได้ระดับหนึ่งแม้ไม่ได้มีผลให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้เท่ากับที่ กนง.ลดดอกเบี้ยซึ่งจะมีผลในการช่วยลูกหนี้ ในการลดภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลงไป
2.การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ที่ ธปท.เข้าไปดูแลในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะสำคัญมากขึ้น เพราะไทยขายสินค้าไปต่างประเทศและส่งออกได้ยากขึ้น แล้วค่าเงินเราแข็งมากในขณะนี้ ทำให้ผู้ส่งออกได้รับเงินน้อยลงเมื่อมีการแลกกลับมาเป็นเงินบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย
ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจะลำบาก และอาจจะมีบทบาทของ ธปท.ในการเข้าไปดูแลค่าเงินบาทบ้างโดยไม่ใช่การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทตลอดเวลาแต่ดูแลในระดับที่เหมาะสมโดยดูกับประเทศคู่แข่งไม่ใช่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาค
3.การดูแลผ่านธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) โดย ธปท.ต้องประสานเพื่อออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ มาตรการซอฟต์โลนจะเป็นลักษณะเดียวกับในช่วงที่เคยมีมาตรการออกมาตอนช่วงโควิด-19 ระบาด ซึ่งการผ่อนปรนหรือออกมาตรการเพิ่มในขณะนี้จะทำให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบไม่กลายเป็นหนี้เสีย (NPL) หรือมาตรการในการพยุงกิจการ และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะมีมาตรการ การผ่อนปรนในลักษณะเดียวกันกับช่วงโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ เป็นต้น
ธปท.ทำงานดันเศรษฐกิจคนเดียวไม่ได้
นอกจากนี้ ประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดีจะทำให้มีข้อเรียกร้องจากรัฐบาลมากขึ้น และผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่จะรับมืออย่างไร ดร.กิริฎา กล่าวว่า ในการทำงานผู้ว่าฯ ธปท.แต่ละคนจะมีจุดยืนของตัวเอง
รวมทั้งการทำงานของ ธปท.ไม่ใช่การทำงานคนเดียวแบบ one man show หรือ one women show การทำงานจะมีคณะกรรมการในการช่วยสนับสนุนข้อมูลเพื่อตัดสินใจ เช่น นโยบายการเงินก็จะมี กนง. หรือนโยบายอื่น จะมีความเห็นจากระดับรองผู้ว่าการ หรือผู้อำนวยการสำนัก และการรับไปปฏิบัติการสั่งการในเรื่องต่างๆ ไม่ได้เป็นแบบเรื่องที่จะสั่งได้แบบงานราชการ
“ในเรื่องการเมืองนั้น คงมีมากดดันบ้าง อย่างสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ ก็พยายามจะกดดันประธานเฟดอยู่ตลอด แต่แบงก์ชาติเองมีความเป็นสถาบัน ไม่ใช่เป็นเรื่องของตัวบุคคล ยังเชื่อมั่นว่าคนของแบงก์ชาตินั้นสตรองมาก ก็จะมีการสนับสนุนบทวิจัย วิเคราะห์ ที่ออกมาเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ แม้ว่ารัฐบาลจะกดดันได้แต่รัฐบาลคงไม่สามารถที่จะสั่งซ้ายหัน หรือขวาหันได้” ดร.กิริฎา กล่าว
โจทย์ระยะยาว “ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ”
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ผู้ว่าฯ ธปท.มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลในการมองภาพเศรษฐกิจระยะสั้น และระยะยาว ควบคุมเงินเฟ้อแต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการเติบโต และควรตั้งอยู่บนหลักวิชาการที่มั่นคง เพื่อลดความเสี่ยงจากอคติทางการเมือง และควรวางตัวเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปทางนักการเมืองแต่ก็ไม่ควรเป็นศัตรูกับรัฐบาล
ในขณะที่โจทย์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ในระยะสั้น ได้แก่ ช่วยรัฐบาลแก้หนี้ครัวเรือนให้เกิดความยั่งยืน สนับสนุนการปล่อยสินเชื่อให้เข้าถึงคนตัวเล็ก และสร้างโอกาสให้พวกสตาร์ตอัป และการอัปเกรดธุกิจ เช่น เทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI นอกจากนั้นต้องดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าผิดปกติ
ส่วนโจทย์ทางเศรษฐกิจระยะยาว ได้แก่ ช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น สนับสนุนการเงินแก่อุตสาหกรรมใหม่ เพิ่มการแข่งขันในภาคการเงิน การธนาคาร การสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อรายย่อยผ่านการใช้เทคโนโลยี รวมทั้งช่วยสนับสนุนการลงทุนของนักลงทุนให้สามารถลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น และเริ่มให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
สำหรับประเด็นที่หนี้สาธารณะไทยอยู่ระดับสูง ดร.นณริฏ กล่าวว่า ปัจจุบันระดับหนี้สาธารณะไทยเริ่มสูงกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งทำให้ภาระดอกเบี้ยที่เสียไปในแต่ละปีมีมากจนเสียโอกาสนำเงินดังกล่าวมาพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาประเทศ
ทั้งนี้ ธปท.ควรเข้ามาร่วมให้ความเห็นกับการก่อหนี้ในอนาคต โดยอาศัยหลักการที่ว่าการก่อหนี้ยังทำได้ แต่ต้องเป็นโครงการที่ก่อประโยชน์ในระยะยาว ช่วยยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ และไม่ควรก่อหนี้มาแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และไม่นำเงินงบประมาณไปลงทุนในโครงการที่ไม่เกิดผลดีในระยะยาว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







