บทสนทนากับ“ผู้นำเข้าสหรัฐ” ต้องเปลี่ยนไปเมื่อภาษีไต่แนวสูง

การส่งออกเป็นรายได้เข้าประเทศเกือบ 70% ต่อจีดีพี จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อตลาดสหรัฐที่เป็นผู้ซื้อเบอร์หนึ่งของไทย เป็นลูกค้าชั้นดีมาหลายสิบปี ได้ปลุกภาคการส่งออกไทยออกจากฝันหวาน
จากที่สหรัฐเคยคิดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเฉลีี่ยไม่ถึง 10% พุ่งไปสู่อัตราภาษีที่ 36% และหากมีการเจรจาแบบทิ้งไพ่ทุกใบแล้วก็เชื่อว่าไทยน่าจะได้ภาษีไม่ต่ำกว่า 20% อ้างอิงมาตรฐานเวียดนามที่เจรจาเสร็จสิ้นแล้ว
อัตราภาษีที่พูดกันอยู่นี้ในทางปฎิบัติคือภาระของผู้ซื้อ หรือ ผู้นำเข้าในตลาดสหรัฐ ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้ขายหรือผู้ส่งออกจากไทยเลย แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คนตัดสินใจกำหนดดิวการค้าคือ “ผู้นำเข้าในสหรัฐ” ซึ่งต้องบวกภาษีไปกับราคาขาย โดยมีผู้บริโภคเป็นไม้สุดท้ายที่จะรับผลจาก“ภาษีทรัมป์”ครั้งนี้ ดังนั้นดิวการค้าจากนี้ต้องทำให้ภาษีกระทบราคาขายปลายทางให้ได้น้อยที่สุด
“ถ้าสหรัฐเก็บภาษีสูง การต่อรองขอส่วนลดก็จะสูงตามไปด้วย และผู้ผลิตจะต้องกลับมาบริหารจัดการต้นทุนเพื่อคงสัดส่วนกำไรแต่หากทำไม่ได้อาจต้องยอมลดกำไรลง ซึ่งหมายถึงรายได้ที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจ รวมถึงสายป่านที่จะประคองธุรกิจให้ฝ่าความท้าทายต่างๆนั้นจะลดลงไปเรื่อยๆ เหมือนขีดความสามารถการแข่งขันทั้งกับตัวเอง และความท้าทายลดลงไปทุกวัน” คำบอกเล่าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายหนึ่งเล่าให้ฟังถึง บทสนทนากับผู้นำเข้าสหรัฐ
จากนี้ไป ธุุรกิจไทยที่ทำการค้ากับสหรัฐ ต้องปรับตัวอย่างหนักทั้งในแง่การหาตลาดใหม่ หรือ ลูกค้าคนใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะทำได้ภายใน 90 วัน เมื่อก่อนหน้านี้ หรือ เวลาอีกไม่ถึงเดือนจากนี้
ทีมประเทศไทยกำลังเจรจากับสหรัฐ อย่างแข็งขัน แต่ดูเหมือนความหวังยังริบหรี่เต็มที หากความหวังที่ว่านั้นคือภาษีลดต่ำกว่า 10% ส่วนความหวังที่พอจะเห็นได้จากปลายอุโมงอันแสนไกล คือ ภาษีสัดส่วน 20% ซึ่งเท่ากับเวียดนาม นั่นหมายถึงแต้มต่อการแข่งขันไม่ต่างกัน
มองด้านผลที่ได้แล้วก็ยังต้องลุ้นอีกมาก แต่มองด้านสิ่งที่เสีย พบว่า สหรัฐต้องการเข้าถึงตลาดสินค้าเกษตรของไทยอย่างมาก ทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว เครื่องในสัตว์ หรือแม้แต่เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา
สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ระบุว่า หากรัฐบาลยอมให้นำเข้า จะเป็นการทำลายเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร รวมถึงตลอดห่วงโซ่เนื่องจากซึ่งต้นทุนการผลิตสุกรของสหรัฐต่ำมาก ผู้เลี้ยงสุกรไทยไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม
นี่คือตัวอย่างเสียงเรียกร้องของเกษตกรไทย หากไทยเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐจริง แต่อีกฝั่งสำหรับสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ,เครื่องโทรสารโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ,ผลิตภัณฑ์ยาง ,อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ,หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ,เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล ซึ่งหมายถึงการจ้างงาน และเสาหลักภาคอุตสาหกรรมไทย
ดังนัั้น การเจรจาต้องคำนึงถึงความสมดุลของสองฝากฝั่งสิ่งที่จะได้และสิ่งที่จะเสียบนพื้นฐานการเยียวยาที่คุ้มค่าสำหรับผู้สูญเสียเพื่อชาติ ซึ่งบทสนทนาจากนี้ ฝั่งผู้ค้าผู้ขายจริงก็ต้องคุยกับลูกค้าปลายทางบนพื้นฐานถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไป ฝั่งผู้เจรจาก็ต้องบาลานซ์ผลประโยชน์อย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน







