ตั้งสติ มองยาว รับมือเศรษฐกิจถดถอยปีนี้และปีหน้า

ตั้งสติ มองยาว รับมือเศรษฐกิจถดถอยปีนี้และปีหน้า

ปีนี้เป็นปีที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนมากแบบสุดๆ ทั้งจากผลกระทบของภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และความไม่แน่นอนของนโยบาย ล่าสุดคือ “อัตราภาษีทรัมป์”

ที่สูงมากกับทุกประเทศโดยเฉพาะไทย ที่จะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอ สัปดาห์ที่แล้ว รายการ CEO Vision FM96.5 ขอสัมภาษณ์ผมเรื่องนี้ โดยเฉพาะผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง วันนี้จึงขอแชร์ความเห็นเพิ่มเติมให้แฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ทราบ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

ปีนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญความไม่แน่นอนและปัจจัยลบมากเป็นพิเศษทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างประเทศคือ

1.ภูมิรัฐศาสตร์ ที่ล่าสุดมีความขัดแย้งคล้ายสงครามเกิดขึ้นพร้อมกันถึงสี่จุดทั่วโลกคือ ยูเครน กาซา อินเดียกับปากีสถาน และอิสราเอลกับอิหร่าน และถ้าบานปลายจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก 

2.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยืดเยื้อ ซึ่งล่าสุดชัดเจนว่า สหรัฐกำลังใช้อัตราภาษีนำเข้าที่สูงกับทุกประเทศ เป็นเครื่องมือบั่นทอนการเติบโตของการค้าจีน โดยใช้การลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐเป็นเงื่อนไข กดดันให้ประเทศในโลกต้องเลือกข้าง 3.การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่เป็นผลจากปัจจัยลบดังกล่าว ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ ภาษีทรัมป์และอัตราดอกเบี้ยเฟดที่ยังต้องสูงเพื่อลดเงินเฟ้อ 

ทั้งหมดทำให้เศรษฐกิจประเทศหลักขณะนี้ ไม่ว่า จีน ญี่ปุ่น ยุโรปรวมถึงสหรัฐ กำลังชะลอและอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจทั่วโลกได้ ถ้าความผิดพลาดทางนโยบายที่มีอยู่ไม่ถูกแก้ไขหรือถูกซ้ำเติม นี่คือสิ่งที่เศรษฐกิจไทยและประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญ

ส่วนในประเทศเอง เสถียรภาพการเมืองและความสามารถในการทำนโยบายของรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ยังเป็นข้อจำกัดในสายตานักลงทุน เพราะไทยไม่มีนโยบายในเชิงปฏิรูปที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจังและสร้างความเชื่อมั่น นโยบายส่วนใหญ่ยังเป็นประชานิยมและโครงการที่ขาดความโปร่งใส ซึ่งเวลาพิสูจน์แล้วว่านโยบายและโครงการแบบนี้ไม่แก้ปัญหามีแต่จะสูญเปล่า

ภายใต้ภาวะดังกล่าว เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกปีนี้ขยายตัวแบบประคับประคอง การส่งออกไปได้ดีเพราะมีการเร่งส่งออกไปสหรัฐก่อนอัตราภาษีใหม่จะเริ่มใช้ แต่การใช้จ่ายในประเทศไม่ว่าการบริโภคหรือลงทุนอ่อนแอลงชัดเจน จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงหกเดือนแรกปีนี้ที่ 16.6 ล้านคนก็ต่ำกว่าเป้าและต่ำกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้ว การบริโภคเอกชนชะลอเพราะกำลังซื้อที่อ่อนแอ หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง 

การลงทุนภาคธุรกิจไม่ขยายตัวสะท้อนความต้องการสินเชื่อที่ชะลอ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายภาษีทรัมป์ที่กระทบความต้องการลงทุนและเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐเริ่มแผ่วเพราะใกล้จบปีงบประมาณ เศรษฐกิจที่อ่อนแอลงสะท้อนชัดเจนจากอัตราเงินเฟ้อไตรมาสสองที่ติดลบ สินเชื่อที่ไม่ขยายตัว และดัชนีความเชื่อมั่นที่ปรับลดลง

สำหรับครึ่งปีหลัง ประเทศไทยจะเผชิญกับสามปัจจัยลบเช่นเดียวกับที่เจอช่วงครึ่งปีแรกแต่จะหนักและรุนแรงกว่ามาก

1.เศรษฐกิจโลก ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอหรือทรุดลงมากขึ้นจากผลของมาตรการภาษีทรัมป์ ที่จะกระทบทั้งเงินเฟ้อและการใช้จ่ายในประเทศ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องย้ายน้ำหนักของนโยบายการเงินจากเงินเฟ้อไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจ นำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ณ จุดนั้นขึ้นอยู่ว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอยู่สูงกว่าเป้าร้อยละ 2 มากหรือน้อยจากผลของภาษีทรัมป์ 

ถ้ามากเศรษฐกิจสหรัฐก็จะสู่ภาวะ Stagflation คือ เศรษฐกิจชะลอพร้อมเงินเฟ้อที่สูงซึ่งจะแก้ยาก ส่วนประเทศอื่นๆ รวมทั้งไทย ผลของภาษีทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจชะลอแต่เงินเฟ้อจะอ่อนลงตาม นำโลกเข้าสู่วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาลงเพื่อหลีกเลี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงคือ อัตราดอกเบี้ยประเทศหลักปรับลงช้าเกินและหรือมาตรการภาษีทรัมป์รุนแรงมากขึ้น เช่น กรณี บราซิล แคนาดา ทั้งสองความเสี่ยงจะเร่งให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย

2.ผลต่อเศรษฐกิจไทยจากอัตราภาษีร้อยละ 36 ของทรัมป์ที่จะรุนแรง มีผลต่อเนื่องถึงปีหน้า และต้องเตรียมรับมือ อัตราภาษีร้อยละ 36 ต้องถือว่าเป็นกรณีเลวร้ายสุดเพราะผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะรุนแรงทั้งระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้นคือการส่งออกไปสหรัฐถูกกระทบเพราะสินค้าไทยเมื่อรวมภาษีจะแพงเกินแข่งขันไม่ได้ ระยะยาวคือการสูญเสียการลงทุนจากต่างประเทศที่ต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปสหรัฐ เพราะสินค้าส่งออกจากไทยจะเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่น เช่น เวียดนาม 

นอกจากนี้ธุรกิจที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าในปัจจุบันเพื่อส่งออกไปสหรัฐก็อาจย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นที่เสียภาษีต่ำกว่า ผลต่อเศรษฐกิจไทยจากมาตรการภาษีทรัมป์จึงรุนแรง ทั้งต่อการส่งออก การผลิต รายได้ การจ้างงาน และการลงทุนจากต่างประเทศ ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้จะตํ่ามากๆ และปีหน้าจะยิ่งต่ำกว่าถ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยน ทำให้รัฐบาลต้องมีมาตรการรับมือทั้งช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูภาคส่งออกจากสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะสั้น และการมองยาวเพื่อปรับยุทธศาสตร์การเติบโตของประเทศ

สำหรับการรับมืออยากแนะนำให้อ่านบทความผม “เศรษฐกิจไทยต้องปฏิรูปเพื่อให้อยู่รอดภาษี 36%” ตีพิมพ์วันที่ 21 เม.ย.ในคอลัมน์นี้อีกครั้ง ที่ผมเสนอให้เปิดเสรีระบบการค้าของประเทศ ปฏิรูปยกระดับภาคอุตสาหกรรม และปฏิรูปการทำงานของระบบราชการและธรรมาภิบาลเพื่อให้ประเทศอยู่รอด เข้มแข็งขึ้น และไม่ถูกเอาเปรียบในโลกที่ไร้ระเบียบ

3.ความไม่แน่นอนทางการเมืองว่าเราจะมีรัฐบาลแบบไหนหรือไม่อย่างไรจากนี้ไป และรัฐบาลจะสามารถดูแลผลกระทบที่จะมีต่อประเทศได้หรือไม่แค่ไหน เป็นปัญหาที่คนไทยทั้งประเทศห่วงเพราะประเทศต้องมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แต่ในสายตานักลงทุนประเด็นที่สำคัญกว่าคือ ความสามารถในการทำนโยบาย ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ เพราะถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีก็อาจซํ้าเติมให้ความเสียหายยิ่งมีมากขึ้น 

เท่าที่ดูขณะนี้ ความสนใจของรัฐบาลมุ่งอยู่ที่การรักษาอํานาจและการผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี ดังนั้น ที่ห่วงคือความจริงจังกับเรื่องที่สำคัญของประเทศกับความไม่เป็นตัวของตัวเองในการทำนโยบาย ที่อาจเป็นปัจจัยลบซํ้าเติมเศรษฐกิจไทยมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังและปีหน้า

นี่คือความเห็นของผม เรากำลังอยู่ในโลกที่ไม่เหมือนเดิมและโจทย์ยากขึ้น ดังนั้น ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับผลกระทบด้วยสติ คือ Keep calm and carry on แบบที่คนอังกฤษทําช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วทุกอย่างจะผ่านไป สังคมไทยถูกทดสอบมาหลายครั้ง คราวนี้ก็เช่นกัน

 

ตั้งสติ มองยาว รับมือเศรษฐกิจถดถอยปีนี้และปีหน้า