สหรัฐกดดันให้ปรับโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ (1)

สหรัฐกดดันให้ปรับโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ (1)

จดหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ลงวันที่ 7 ก.ค.2025 ถึงผู้นำของประเทศไทยและชาติอื่นๆ แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า การที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้านั้น แสดงถึงการถูกเอาเปรียบ

ดังนั้น สหรัฐจึงจะเก็บภาษีสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐในอัตรา 36% โดยไม่รวมถึงภาษีศุลกากรที่เก็บสินค้านำเข้าเฉพาะรายการ (เช่น เหล็กกล้าและรถยนต์) โดยย้ำอีกว่า “We will charge Thailand a Tariff of only 36%...Please understand that this 36% number is far less than what is needed to eliminate the Trade Deficit disparity we have with your country.”

แปลว่าที่เก็บภาษีสินค้าไทย “เพียง” 36% นั้นยังไม่พอเพียงที่จะขจัดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ กล่าวคือสหรัฐพร้อมที่จะเก็บภาษีสินค้าไทยเพิ่มเติมอีกได้ในอนาคต นอกจากนั้นก็ยังกล่าวขู่ต่อไปอีกว่า หากใครตอบโต้ด้วยการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ รัฐบาลสหรัฐก็จะเพิ่มภาษีที่เก็บจากสินค้าไทยที่ส่งออกไปที่สหรัฐในจำนวนที่เท่ากัน 

จดหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ลงท้ายว่า หากประเทศไทย “Eliminate your Tariff, we will, perhaps, consider an adjustment to this letter” แปลว่าหากไทยยกเลิกมาตรการและนโยบายกีดกันการค้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น มาตรการภาษีหรือมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่ขัดขวางการค้าของสหรัฐ ทางสหรัฐก็ “อาจจะปรับ” (perhaps, consider an adjustment _ ไม่รู้ว่าปรับขึ้นหรือลง?) อัตราภาษี 36% ที่เก็บการส่งออกของประเทศไทย

การเจรจาการค้ากับสหรัฐที่มีท่าทีเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะสหรัฐมีท่า “เอาแต่ได้” อยู่ฝ่ายเดียว เนื่องจากมีความเชื่อที่ว่าได้ถูกประเทศคู่ค้าเอาเปรียบมาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยวัดการถูกเอาเปรียบได้จากมูลค่าการขาดดุลการค้ากับประเทศนั้นๆ เช่น กรณีของประเทศไทย สหรัฐขาดดุลการค้ามูลค่าประมาณ 45,600 ล้านเหรียญ คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 72% ของการส่งออกของไทยไปสหรัฐ (มูลค่า 63,300 ล้านเหรียญ) ดังนั้น ภาษี 36% (ครึ่งหนึ่งของ 72%) ประธานาธิบดีทรัมป์ถือว่า “ปรานี” ไทยมากอยู่แล้ว

แนวคิดดังกล่าวนั้น ไร้ด้วยเหตุผลทางวิชาการ (หรือสามัญสำนึก) และแน่นอนว่า ขัดต่อกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศที่สหรัฐเป็นแกนนำในการทำขึ้นมาเมื่อ 80 ปีที่แล้ว กล่าวคือ การปรับขึ้นภาษีนั้น จะต้องมีเหตุผลเฉพาะเจาะจงในแต่ละรายสินค้า โดยจะต้องพิสูจน์ว่า ได้รับผลกระทบที่ร้ายแรงจากการเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของปริมาณนำเข้า 

ขณะที่ประเทศคู่ค้าที่ได้รับผลกระทบสามารถนำเรื่องไปร้องเรียนกับองค์การการค้าโลก เพื่อให้มีการปรึกษาหารือหรืออาจไปถึงขั้นการตั้งคณะอนุญาโตตุลาการเพื่อตัดสินข้อพิพาททางการค้าก็ได้ หากผ่านกระบวนการดังกล่าวแล้ว จึงอาจจะยังปรับขึ้นภาษีศุลกากร แต่ประเทศคู่ค้าก็จะมีสิทธิ์ที่จะขึ้นภาษีตอบโต้ได้หากเห็นว่าไม่เป็นธรรม 

กล่าวโดยสรุปคือ ระเบียบการค้าระหว่างประเทศที่เรียกว่าระบบพหุภาคีนั้น พยายามที่จะไม่ให้เพิ่มมาตรการกีดกันการค้า แต่ในทางตรงกันข้ามจะพยายามส่งเสริมให้ลดทอนมาตรการที่กีดกันการค้าทุกรูปแบบ

ดังนั้น สิ่งที่สหรัฐทำอยู่ในขณะนี้คือ การเพิ่มมาตรการกีดกันการค้าอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบเกือบ 100 ปี กล่าวคืออัตราภาษีศุลกากรสหรัฐก่อนที่ทรัมป์จะได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีนั้น เฉลี่ยต่ำกว่า 2% แต่ในวันนี้ได้เพิ่มขึ้น 10 เท่าตัวคือประมาณ 20%

และมีแนวโน้มว่ามาตรการกีดกันการค้าจะมีแต่เพิ่มขึ้น เช่น ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีศุลกากร การนำเข้ายารักษาโรค และเพื่อลงโทษประเทศคู่ค้าที่อ้างว่าปล่อยให้คนลักลอบเข้าเมืองสหรัฐ หรือส่งเสริมการผลิตยาเสพติด หรือแม้กระทั่งการเป็นสมาชิก BRICs ที่สนับสนุนนโยบายที่อ้างว่า “ต่อต้าน” สหรัฐ

มีการกล่าวกันมากว่า ประเทศไทยเริ่มเจรจาล่าช้ากว่าประเทศอื่นๆ และเจรจาอย่างเชื่องช้า จึงเจรจาไม่ทันท่วงทีและจึงโดนเก็บภาษีสูงถึง 36% โดยเทียบกับเวียดนามที่โดนเก็บภาษีเพียง 20% (แต่ก็จะถูกเก็บภาษี 40% สำหรับสินค้าที่ส่งผ่าน (transship) มาจากประเทศที่สาม) แต่ ณ วันที่เขียนบทความนี้ (9 ก.ค.) ก็มีเพียงประเทศเวียดนามและอังกฤษเท่านั้น ที่สามารถบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับสหรัฐได้ โดยที่เรายังไม่สามารถรับรู้รายละเอียดของข้อตกลงดังกล่าวได้เลย

ในขณะที่การเจรจากับอีกหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรปที่รีบเจรจากับสหรัฐมาตั้งแต่ต้นปี รวมทั้งญี่ปุ่นที่นายกรัฐมนตรีรีบบินไปพบและแสดงความยินดีกับการเข้ามารับตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งแต่ต้นปี ก็ยังไม่สามารถทำความตกลงทางการค้ากับสหรัฐได้ ประเทศจีนที่เจรจากับสหรัฐเป็นครั้งคราวนั้น ก็เพียงแต่ทำให้เกิดการ “สงบศึก” ชั่วคราว

สรุปคือ การเจรจากับสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์นั้นเป็นเรื่องยาก เพราะสหรัฐต้องการเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว และไม่ยึดโยงกับกฎเกณฑ์การค้าสากลและธรรมเนียมปฏิบัติในอดีต ในฐานะที่เป็นประเทศคู่ค้าและเป็นพันธมิตรที่ยาวนานแต่อย่างใด

ครั้งต่อไปผมจะเขียนถึงประเด็นเจรจาที่มีความท้าทาย และความจำเป็นที่ประเทศต่างๆ จะต้องมองหา “ทางออก” ในมุมกว้าง ที่ไม่ใช่เป็นเพียงการเจรจากับสหรัฐเพื่อลดทอนผลกระทบให้น้อยที่สุดครับ