พด.หนุนเกษตรกรใช้ LDD Test Kit ตรวจดินภาคสนามเชื่อมe-Serviceแปลผลปุ๋ยทันใจ

พด.หนุนเกษตรกรใช้ LDD Test Kit  ตรวจดินภาคสนามเชื่อมe-Serviceแปลผลปุ๋ยทันใจ

กรมพัฒนาที่ดิน เดินหน้ายกระดับการบริการวิเคราะห์ดินจาก ห้องปฏิบัติการสู่การใช้งานภาคสนาม ผ่าน LDD Test Kit นวัตกรรมชุดตรวจสอบดินภาคสนาม ช่วยเกษตรกรเข้าถึงข้อมูลดินได้สะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย

ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน (พด.) เปิดเผยว่า การตรวจวิเคราะห์ดินก่อนทำการเพาะปลูก เป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่จะช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ผลผลิตสูง และลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้เกษตรกรมีความสะดวกในการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าว กรมพัฒนาที่ดินได้สนับสนุนให้เกษตรกรใช้ ชุดตรวจดินภาคสนาม  “LDD Test Kit"  ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรรู้จักดินของตนเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาในการส่งดินไปวิเคราะห์ถึงห้องปฏิบัติการสามารถเชื่อมโยงผลทดสอบ pH N P K และ EC กับระบบ e-Service ตรวจสอบดินเพื่อการเกษตร เพื่อแปลผลและรับคำแนะนำได้ทันที ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และดูแลสิ่งแวดล้อมได้จริง

พด.หนุนเกษตรกรใช้ LDD Test Kit  ตรวจดินภาคสนามเชื่อมe-Serviceแปลผลปุ๋ยทันใจ

ปิ่นเพชร ดีล้อม ผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์เพื่อการ พัฒนาที่ดิน(สวด.)  กล่าวว่า ชุด   LDD Test Kit  นี้ เกษตรกรสามารถตรวจวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ธาตุอาหารหลัก (N-P-K) และค่าการนำไฟฟ้า (EC) ได้ด้วยตนเอง พร้อมเชื่อมต่อผลการตรวจเข้าระบบ e-Service ของกรมฯ เพื่อแปลผลและคำนวณสูตรปุ๋ยอัตโนมัติ เพิ่มความแม่นยำตรงตามความต้องการของพืช และช่วยลดต้นทุนการผลิต

ทั้งนี้ สำนักวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ดิน ได้พัฒนาชุดตรวจสอบดินภาคสนาม (LDD Test kit) ตั้งแต่ปี 2555 และแจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่สถานีพัฒนาที่ดินทุกจังหวัด พร้อมส่งมอบให้เครือข่ายหมอดินอาสาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังขยายผลสนับสนุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ปัจจุบัน สวด. ผลิตชุด Test kit ได้ประมาณ 4,500 ชุดต่อปี รองรับการวิเคราะห์ดินได้ 215,000 ตัวอย่างต่อปี

พด.หนุนเกษตรกรใช้ LDD Test Kit  ตรวจดินภาคสนามเชื่อมe-Serviceแปลผลปุ๋ยทันใจ

“ LDD Test Kit ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ภายใต้โครงการบริหารจัดการดินเชิงรุก (บัตรดินดี) ตั้งแต่ปี 2562 และขยายผลผ่านโครงการหมอดินตรวจดิน ซึ่งเริ่ม ในปี 2565 เพื่อช่วยให้เกษตรกรตรวจสอบข้อมูลดินของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ลดภาระค่าใช้จ่ายในการส่งตัวอย่างไปห้องปฏิบัติการ และนำผลวิเคราะห์ไปใช้ปรับปรุงดินได้ทันที”

สำหรับชุด LDD Test Kit ประกอบด้วย ชุดตรวจสอบความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH) พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 และได้รับอนุสิทธิบัตร เลขที่ 15745 จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่ ธันวาคม พ.ศ. 2562 - 2570

 ชุดตรวจสอบธาตุอาหารหลัก (N-P-K) ช่วยให้เกษตรกรตรวจสอบปริมาณธาตุไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ในดินได้ด้วยตนเองในภาคสนาม  ชุดตรวจสอบค่าการนำไฟฟ้า (EC) เป็นการตรวจวัดการละลายได้ของเกลือ ที่บ่งชี้ถึงระดับความเค็มของดิน 

พด.หนุนเกษตรกรใช้ LDD Test Kit  ตรวจดินภาคสนามเชื่อมe-Serviceแปลผลปุ๋ยทันใจ

โดยเกษตรกรสามารถขอรับบริการตรวจสอบดินจากหมอดินอาสาใกล้บ้านได้สะดวก หรือจากเจ้าหน้าที่ กรมพัฒนาที่ดินแต่ละจังหวัด เมื่อได้รับผลการตรวจแล้ว เช่น ค่า pH ค่าธาตุอาหารหลัก (N P K) หรือค่า EC สามารถกรอกข้อมูลลงใน ระบบ e-Service ตรวจสอบดินเพื่อการเกษตร ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ของกรมพัฒนาที่ดิน ระบบจะทำการแปลผลและแนะนำสูตรปุ๋ยอัตโนมัติ ช่วยให้การใส่ปุ๋ยแม่นยำ ตรงตามความต้องการของพืช และคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

“กรมพัฒนาที่ดินเดินหน้าพัฒนานวัตกรรม Test Kit อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมการประเมินสมบัติดินอย่างง่าย ทั้งด้านเคมี กายภาพ และชีวภาพ โดยปัจจุบันกำลังดำเนินการจดอนุสิทธิบัตรสำหรับ ชุดตรวจ NPK Test Kit ชุดทดสอบการหายใจของดิน ชุดทดสอบไนเตรตในดิน และชุดทดสอบเสถียรภาพเม็ดดิน ภายในปี 2568 รวมถึงพัฒนาชุดตรวจธาตุอาหารรองและจุลธาตุ ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาไม้ผลและพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ชุดทดสอบแคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ เหล็ก และโบรอน ซึ่งจะทยอยดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในปี 2570”

 

ทั้งหมดนี้เพื่อขยายโอกาสการใช้ประโยชน์นวัตกรรมให้ตอบโจทย์การจัดการดินอย่างเหมาะสม รองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และสอดรับกระแสการบริโภคอาหารปลอดภัย ช่วยให้เกษตรกรวางแผนปรับปรุงดินและใช้ปุ๋ยได้อย่างถูกต้อง ขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรกรรมไทยให้ยั่งยืนทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ เกษตรกรที่สนใจสามารถขอรับบริการตรวจสอบดินด้วย LDD Test Kit ได้ที่ สถานีพัฒนาที่ดินทุกจังหวัด หรือผ่านเครือข่ายหมอดินอาสาใกล้บ้าน

พด.หนุนเกษตรกรใช้ LDD Test Kit  ตรวจดินภาคสนามเชื่อมe-Serviceแปลผลปุ๋ยทันใจ

สำหรับการเก็บตัวอย่างดิน มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบดินเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แล้วนำไปใช้ในการจัดการพื้นที่เพาะปลูกอย่างแม่นยำ โดยปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเก็บตัวอย่างดินได้แก่  ช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรเก็บหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว หรือก่อนเตรียมดินปลูกพืชครั้งต่อไป เพื่อได้คำแนะนำทันต่อการเพาะปลูก

 ตำแหน่งและจุดเก็บเหมาะสม เป็นพืชชนิดเดียวกัน และพื้นที่ที่จะเก็บตัวอย่างดินไม่ควรเปียกแฉะหรือมีน้ำท่วมขัง และไม่แห้งเกินไป ดินควรมีความชื้นเล็กน้อยจะทำให้ขุดและเก็บได้ง่ายขึ้น ไม่เก็บตัวอย่างดินบริเวณที่เคยเป็นบ้าน หรือโรงเรือนเก่า จอมปลวก เก็บให้ห่างไกลจากบ้านเรือน อาคารที่อยู่อาศัย คอกสัตว์ และบริเวณจุดที่มีปุ๋ยตกค้างอยู่

ความลึกดินที่เก็บ ขึ้นอยู่กับชนิดพืช และความยาวรากของพืช  อุปกรณ์ที่เก็บตัวอย่างดินต้องสะอาด ไม่เปื้อนดิน ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช หรือสารเคมีอื่น ๆ และต้องบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวอย่างดินของแต่ละตัวอย่างตามแบบฟอร์ม “บันทึกรายละเอียดตัวอย่างดิน” ให้มากที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการให้คำแนะนำการจัดการดินให้ถูกต้องที่สุด