พิชัย ถกทีม บ้านพิษณุโลก เพิ่มข้อเสนอภาษีสหรัฐ - เตรียมแผนเยียวยา

พิชัย ถกทีม บ้านพิษณุโลก เพิ่มข้อเสนอภาษีสหรัฐ - เตรียมแผนเยียวยา

“ทักษิณ” คุมเกมรับมือภาษีทรัมป์ ติวทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ก่อน “พิชัย” นัดหารือทีมไทยแลนด์ เร่งสรุปยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมอีกก่อน 1 ส.ค.68 คู่ขนาน ตุนงบ 4.7 หมื่นล้านบาท

KEY

POINTS

  • “ทักษิณ” คุมเกมรับมือภาษีทรัมป์ ติวทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ก่อน “พิชัย” นัดหารือทีมไทยแลนด์ เร่งสรุปยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมอีกก่อน 1 ส.ค.68
  • ทำงานคู่ขนานออกแบบมาตรการเยียวยา ตุนงบ 4.7 หมื่นล้าน พร้อมตั้งกองทุนช่วยเกษตรกร-เอสเอ็มอี
  • อัดมาตรการซอฟต์โลนพยุงสภาพคล่อง เน้นแนวทางรักษาจ้างงาน
  •  สศช.หารือเอกชนสัปดาห์หน้า ออกแบบมาตรการช่วยเหลือให้ตรงจุด

ไทย และอีกหลายประเทศมีเวลาในการเจรจาอัตราภาษีนำเข้าสินค้าภายใต้มาตรการ “Reciprocal Tariff” ให้ได้ข้อเสนอภายในวันที่ 1 ส.ค.2568 หลังจากที่สหรัฐส่งหนังสือยืนยันอัตราภาษีตอบโต้ของไทย 36% โดยการดำเนินงานของรัฐบาลทำคู่ขนานกัน 2 ส่วน คือ 

1.สรุปข้อเสนอเพิ่มเติมที่ครอบคลุมการลดภาษีนำเข้าสินค้า การลดมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) และการลดเงื่อนไขการนำเข้า ซึ่งสหรัฐกำหนดเส้นตายให้ไทยส่งมอบข้อเสนอเพิ่มเติมภายในวันที่ 31 ก.ค.2568

2.การกำหนดมาตรการเยียวยาผลกระทบจากภาษีทรัมป์ และการเปิดตลาดของไทยให้สหรัฐ ซึ่งครอบคลุมการจัดเตรียมงบประมาณ การดำเนินการช่วยเหลือผ่านกองทุน และการสนับสนุนซอฟต์โลน โดยเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร SME และซัพพลายเชนผู้ส่งออกไปตลาดหสรัฐ

ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ยื่นข้อเสนอรอบที่ 2 ให้กับสหรัฐเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2568 โดยมีข้อเสนอไทยขยับเป้าหมายสมดุลการค้าสหรัฐเร็วขึ้นจาก 10 ปี เหลือ 7-8 ปี โดยกำหนดให้ปี 2573 ไทยลดได้ดุลการค้าสหรัฐลง 70% และปี 2574-2575 ไทย และสหรัฐมีสมดุลการค้ากัน

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้นัดหารือทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี (ทีมบ้านพิษณุโลก) ในวันที่ 10 ก.ค.2568 เพื่อสรุปข้อมูล และแนวทางการเจรจาของไทย 

ทั้งนี้ นายทักษิณ นัดประชุมก่อนที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะประชุมทีมไทยแลนด์ที่ทำหน้าที่ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐ ร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการเจรจา และทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีในวันนี้ (11 ก.ค.2568) ซึ่งนายทักษิณ ยืนยันว่าภายในสุดสัปดาห์นี้จะต้องได้ข้อสรุป

เร่งสรุปรับมือผลกระทบภาษีทรัมป์

นายพิชัย กล่าวว่า การประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 11 ก.ค.2568 จะรวบรวมปัญหาของผู้ประกอบการเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสม รวมถึงเดินหน้าการเจรจากับสหรัฐให้ได้ข้อสรุปภายในวันที่ 31 ก.ค.2568 ซึ่งต้องเตรียมพร้อมทุกด้านว่าผลลัพธ์การเจรจาออกมารูปแบบใดทั้งผลลัพธ์ที่ดี และดีปานกลาง รวมทั้งประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะการส่งออก

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากประเทศที่บรรลุข้อตกลงทางภาษีกับสหรัฐแล้ว พบว่าสหรัฐกำหนดอัตราภาษีหลายประเภท อาทิ อัตราภาษีนำเข้าสินค้าท้องถิ่น และสินค้าที่มีส่วนประกอบของชิ้นส่วนในประเทศไม่ถึงสัดส่วนตามที่กำหนด (RVC) รวมทั้งประเภทสินค้าที่โดนเก็บภาษีต่างกัน ทำให้สุดท้ายแล้วผู้ประกอบการแต่ละรายจะได้รับอัตราภาษีต่างกัน และได้รับผลกระทบต่างกัน

กดดันลดเอ็นทีบี-เปิดโควตาเกษตร

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี และประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า นายพิชัย ต้องการนัดประชุมร่วมกันที่บ้านพิษณุโลกวันที่ 11 ก.ค.2568 เพื่อรับทราบข้อมูลการเจรจาภาษีกับสหรัฐ และหาทางเจรจาต่อเนื่องหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ส่งจดหมายมาเรียกเก็บภาษีกับไทย 36% โดยมีเส้นตายอยู่ในวันที่ 1 ส.ค.2568

พิชัย ถกทีม บ้านพิษณุโลก เพิ่มข้อเสนอภาษีสหรัฐ - เตรียมแผนเยียวยา

นายศุภวุฒิ กล่าวว่า การปรับความสัมพันธ์ทางการค้า และเศรษฐกิจกับสหรัฐเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการส่งออกไปสหรัฐคิดเป็นสัดส่วน 18% ของการส่งออกไทยทั้งหมด โดยเมื่อถูกสหรัฐกดดันทำให้ส่งออกแบบเดิมไม่ได้ และสหรัฐจะเอาคืนจากการส่งออกมาให้ได้มากที่สุด และถ้าไทยจะผลิตอะไรให้ไปผลิตที่สหรัฐ 

"สหรัฐบอกว่าที่เก็บภาษี 36% ถือว่าต่ำแล้วเมื่อเทียบกับการขาดดุลที่ผ่านมา อย่างไรไทยก็ต้องค้าขายกับสหรัฐต่อ แต่มูลค่าการค้าจะลดลงมาก ขณะเดียวกันสหรัฐจะกดดันให้ไทยเพิ่มการนำเข้าสินค้า ดังนั้นต้องคิดต่อว่าในอีก 6-12 เดือน ข้างหน้า จะค้าขายกับใคร”

การเจรจากับเวียดนามกลายเป็นบรรทัดฐาน

ทั้งนี้ทีมไทยแลนด์ประเมินสิ่งที่สหรัฐเจรจาแล้วได้ผลกับเวียดนามจะนำมาเป็นบรรทัดฐานหรือกดดันการเจรจา ทั้งมาตรการภาษีศุลกากร และมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) ซึ่งครอบคลุมการลดภาษีศุลกากรสินค้าทั้งหมดให้สหรัฐ 

รวมถึงการให้ความสำคัญกับ NTB เช่น การยกเลิกโควตานำเข้าสินค้าเกษตร การกำหนดระยะเวลาขอใบอนุญาตนำเข้า มาตรการสุขอนามัยพืชและสัตว์ โดยสหรัฐต้องการให้ไทยยกเลิกหมดเหมือนเวียดนาม

นอกจากนี้ สหรัฐต้องการให้ไทยเปิดเสรีการเงิน และเสรีโทรคมนาคม โดยไม่ต้องเปิดทันทีแต่ให้มีการเจรจากันต่อ

ส่วนปัญหาการส่งสินค้าสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า (Trans-shipment) จากประเทศที่สหรัฐไม่พึงประสงค์ที่ส่งผ่านไทยไปสหรัฐ โดยเวียดนามถูกโดนเก็บภาษีส่วนนี้อัตรา 40% ซึ่งเป็นระบบการค้าที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งการหานิยามจะสำคัญ และกระทบผลประโยชน์ของไทยอย่างมากในระยะต่อไปที่ต้องเตรียมรับมือ

นัดเอกชนออกแบบมาตรการเยียวยา

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า การผลักดันข้อเสนอไทยที่ยื่นให้สหรัฐเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2568 รัฐบาลประสานงานสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน เพื่อให้แน่ใจว่าข้อเสนอล่าสุดของไทยเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานด้านภาษีของสหรัฐ ซึ่งจะนำข้อเสนอไทยไปพิจารณาประกอบการลดภาษีลงจาก 36%

แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมรองรับการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ โดยรัฐบาลมีงบประมาณรองรับในส่วนงบประมาณกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 47,000 ล้านบาท

ขณะนี้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ทำรายงานถึงนายพิชัยว่าควรนำงบประมาณส่วนนี้รองรับผลกระทบต่อผู้ส่งออก SME และเกษตรกร โดยเน้นประคองการจ้างงานให้ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตามลักษณะ และรายละเอียดของโครงการนั้นจะต้องมีการรวบรวมข้อมูล และรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ค.68 ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้นัดหมายคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน มาหารือแล้ว 1 ครั้ง และสัปดาห์หน้า สศช.เชิญภาคเอกชนมาหารือเพื่อช่วยกันออกแบบมาตรการช่วยเหลือเยียวยาให้ตรงเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้มีความชัดเจน 3 แนวทาง คือ

1.การจัดเตรียมงบประมาณ ซึ่งงบประมาณปี 2568 มีวงเงินงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจ 47,000 ล้านบาท ที่เตรียมไว้แล้วสำหรับรับมือภาษีทรัมป์ และพิจารณาเพิ่มได้จากงบกลางสำหรับลดผลกระทบการส่งออก 11,122 ล้านบาท ส่วนงบประมาณปี 2569 จัดงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท และจะเกลี่ยงบรายการอื่นเพิ่มเข้ามาเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท

2.การเยียวยาผ่านกองทุนเพื่อลดผลกระทบจากภาษีทรัมป์

3.การจัดซอฟต์โลนเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งที่ผ่านมาเตรียมวงเงิน 100,000 ล้านบาท ของธนาคารออมสินเพื่อช่วยเหลือ 3 กลุ่ม คือ ผู้ส่งออกตลาดสหรัฐ , Supply Chain ภาคการส่งออก และผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนทุ่มตลาด

เตรียมประเมินตั้งกองทุนเยียวยา

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การประชุมในวันที่ 11 ก.ค.2568 ที่บ้านพิษณุโลก ส่วนหนึ่งจะหารือมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ โดยที่ผ่านมามีข้อเสนอการมีกองทุนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบวงเงิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องพิจารณาวงเงินที่เหมาะสมกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งพิจารณารูปแบบดำเนินการที่เป็นไปได้ 2 แนวทาง คือ

1.การจัดตั้งกองทุนใหม่ขึ้นมาดำเนินการ

2.การดำเนินการผ่านกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ (กองทุน FTA)

"ต้องหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดว่ากระทบกับใคร สินค้าใด ความเสียหายเป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งต้องดูภาพรวม และจำนวนเงินที่ต้องใช้เท่าไรจึงจะเพียงพอ โดยกระทรวงพาณิชย์จะทำงานร่วมมือกับทุกกระทรวง" 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์