ส.อ.ท. ชง 'พิชัย' กู้วิกฤติ 47 อุตสาหกรรม ดันรัฐสกัดจีนสวมสิทธิ์

ส.อ.ท. ชง 'พิชัย' กู้วิกฤติ 47 อุตสาหกรรม ดันรัฐสกัดจีนสวมสิทธิ์

47 กลุ่มอุตสาหกรรม "ส.อ.ท." ทำการบ้านหนัก ชง "พิชัย" เจาะผลกระทบพิษภาษีโหด 36% แบบเฉพาะกลุ่ม  ชี้กลุ่มใช้แรงงานเข้มข้นน่าห่วง กำไรบาง เริ่มส่งสัญญาณคู่ค้าแบ่งภาระส่วนหนึ่ง จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาจีนสวมสิทธิ์ หนุนเงินให้โรงงานไทยผลิตชิ้นส่วนแทนจีน

KEY

POINTS

  • 47 กลุ่มอุตสาหกรรม ประเมินผลกระทบและมาตรการรองรับจากภาษี 36% ของสหรัฐฯ เพื่อเสนอต่อกระทรวงการคลังภายในวันที่ 11 ก.ค.
  • ภาครัฐได้เตรียมวงเงินหลายหมื่นล้านบาท เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในกรณีที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ได้
  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น แปรรูปอาหาร, สิ่งทอ, ยางรถยนต์, และเครื่องประดับ จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดเนื่องจากมีกำไรต่ำ
  • สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าจากจีนผ่านไทย ซึ่งภาครัฐต้องเร่งแก้ไขโดยสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) มากขึ้น

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง หารือร่วมภาคเอกชน ถึงผลกระทบภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ ที่กำหนดภาษีสินค้านำเข้าที่ 36% มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ส.ค. 68 ว่า ภาครัฐ ต้องการรู้ว่า แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบอย่างไร ต้องการมาตรการอะไรให้รัฐช่วยเหลือ และมีมาตรการอะไรไว้รองรับแรงกระแทกไว้บ้างแล้ว

ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละกลุ่มผลกระทบจะต่างกัน ซึ่งส.อ.ท.ได้ให้ทั้ง 47 กลุ่มอุตสาหกรรมประเมินผลกระทบแบบเจาะลึกเป็นรายอุตสาหกรรม และมาตรการรองรับของแต่ละกลุ่มกลับมา โดยเฉพาะมาตรการการเงิน และการคลัง 

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางภาครัฐแจ้งว่าได้เตรียมมาตรการรองรับในกรณีเลวร้ายสุด คือ ไม่สามารถต่อรองได้ยืนยันเก็บที่ 36% ทางภาครัฐเตรียมวงเงินไว้หลายหมื่นล้านบาท เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว หลังจากรวบรวมข้อมูลทั้ง 47 กลุ่มทั้งหมดแล้ว ทางส.อ.ท.จะยื่นให้กระทรวงการคลัง ภายในวันที่ 11 ก.ค. ต่อไป  

"ซึ่งเวลานี้ผู้ส่งออกเองก็พยายามปรับตัวรองรับผลกระทบ เช่น  บางกลุ่มได้เจรจากับผู้นำเข้า หรือผู้จัดจำหน่ายทางฝั่งสหรัฐ  ให้ช่วยรับภาษีไปส่วนหนึ่งประมาณ 10%  ส่วนที่เหลือ 26% ทางผู้ส่งออกจะเป็นผู้รับผิดชอบ"

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ภาครัฐเล่าให้ฟังว่า ข้อเสนอใหม่ที่ส่งเข้าไปให้สหรัฐ เชื่อว่า จะถูกใจ โดนใจสหรัฐบ้าง แต่ไม่ได้เปิดให้ทั้งหมดแบบเวียดนาม เพราะไทยเน้นการคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะภาคเกษตร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ตอนนี้กลุ่มหลักๆ ที่จะได้รับผลกระทบ คือ กลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้น  เช่น

อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ปลากระป๋อง อาหารกระป๋องอุตสาหกรรมสิ่งทอ ยางรถยนต์ พลาสติก เครื่องประดับ กลุ่มนี้มีกำไรบาง ส่วนใหญ่มีกำไรเลขตัวเดียว  ถึงไม่เกิน 10% ถ้าถูกเก็บ 36% จะได้รับผลกระทบมาก กรณีเลวร้ายสุด ต้องเลิกจ้างแรงงาน  ต้องหามาตรการรองรับกลุ่มนี้ เช่น ถ้าเป็นต่างด้าว ก็กลับประเทศ ถ้าเป็นกลุ่มคนไทย ที่เยอะๆในกลุ่มสิ่งทอ ยางรถยนต์ พลาสติก เครื่องประดับ ก็ต้องหามาตรการรองรับ

อย่างไรก็ตาม ส่วนสิ่งสำคัญที่สหรัฐเน้นเป็นพิเศษ คือ การแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าจากจีนเข้ามาสหรัฐ ผ่านประเทศที่สาม ซึ่งปัญหานี้ ไทยต้องเร่งแก้ไข โดยระยะต่อไปภาครัฐ ต้องเน้นการสนับสนุนให้ไทยผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นของคนไทยเอง (โลคัล คอนเทนท์) มากขึ้น เช่น

มาตรการส่งเสริม วงเงินดอกเบี้ยต่ำ  เพื่อลดการนำเข้าชิ้นส่วนต่างๆ จากจีน  ส่วนนี้อาจเป็นมาตรการระยะกลาง และยาว เพราะให้เร่งตั้งโรงงานผลิตระยะสั้น จะไม่ทัน ต้องใช้เวลา  ระยะสั้นอาจต้องนำเข้าชิ้นส่วนจากประเทศเข้ามาผลิตแทน เช่น อินเดีย และต้องดูว่า จะนำเข้าสินค้าอะไรจากสหรัฐ เพิ่มเติมบ้าง เพื่อลดปัญหาไทยเกินดุลการค้าจากสหรัฐ