‘OECD’ แนะไทยเร่งเพิ่มโปรดักทิวิตี้ ตั้ง 'สภาผลิตภาพ'เคลื่อนศก.

“OECD” ชี้ไทยเผชิญปัญหา “ผลิตภาพชะลอ” เสี่ยงฉุดไทยหลุดเป้ารายได้สูงภายในปี 2580 เสนอจัดตั้ง “สภาผลิตภาพ” ขับเคลื่อนนโยบายไปสู่เป้าหมาย
การวัดผลเรื่องของ “Productivity” หรือ “ผลิตภาพการผลิต” เป็นอีกเครื่องมือที่ใช้วัดประสิทธิภาพของการผลิตหรือใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในการทำงานและการใช้ชีวิตของประชากรในประเทศ หากประเทศใดมีการเติบโตของผลิตภาพที่สูงจะสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้นๆ
ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้าน “การเติบโตของผลิตภาพ” ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าหลายประเทศในอาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อาจบ่อนทำลายเป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวสู่ “ประเทศรายได้สูง” ที่ตั้งไว้ภายในปี 2580
เมื่อเร็วๆนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้มีการจัดประชุมเพื่อเผยแพร่รายงานการวิเคราะห์แนวทางการยกระดับผลิตภาพการผลิตของประเทศไทย (Strengthening Productivity Analysis for Policymaking in Thailand)
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการยกระดับผลิตภาพการผลิต (Boosting Productivity Project) ภายใต้ OECD-Thailand’s Country Programme ระยะที่ 2 โดยได้รับเกียรติจากนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการเปิดการประชุม
นาย Álvaro S. Pereira หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ OECD (OECD Chief Economist) กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์ของประเทศไทยที่เผชิญกับการชะลอลงของผลิตภาพการผลิต รวมถึงความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการที่จะต้องมีการปฏิรูปเพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตของประเทศในระยะต่อไป จึงเห็นว่าโครงการยกระดับผลิตภาพการผลิตถือเป็นโครงการที่มีความสำคัญยิ่งในการที่จะนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เหมาะสมต่อประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้รายงานฉบับนี้ระบุถึง โครงสร้างเศรษฐกิจที่ฉุดรั้งผลิตภาพการผลิตของไทย โดยมีปัจจัยเชิงโครงสร้างที่บั่นทอนการเติบโตของผลิตภาพไทย ได้แก่: การกระจุกตัวของตลาดที่สูงและการแข่งขันต่ำ กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมบริการ ข้อจำกัดด้านการค้าบริการ การลงทุนภาคเอกชนที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง รวมทั้งการลงทุนภาครัฐ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและทุนมนุษย์ ที่ต่ำกว่าเป้าหมาย
ทั้งนี้แม้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) จะให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม แต่กลับละเลยเครื่องมือนโยบายที่สำคัญอื่น เช่น มาตรการเสริมสร้างศักยภาพของ SMEs และการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร
นอกจากนี้รายงานของ OECD ยังระบุด้วยว่าประเทศไทยนั้นขาดกลไกหลักในการวิเคราะห์ผลิตภาพ ที่ชัดเจน ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงด้านการวิเคราะห์ผลิตภาพอย่างเป็นระบบ ทำให้ข้อมูลและองค์ความรู้กระจัดกระจาย ขาดการบูรณาการ และลดความสำคัญของประเด็นผลิตภาพในหมู่ผู้กำหนดนโยบาย
เสนอตั้งสภาผลิตภาพ
เพื่อแก้ปัญหานี้ OECD จึงเสนอแนะให้มีประเทศไทยมีการจัดตั้ง “สภาผลิตภาพ” ขึ้นเป็นกลไกกลางที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันที่เกี่ยวข้อง เช่น สศช.. ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ฯลฯ โดยสภาฯนี้จะมี “สำนักงานเลขานุการ” ทำหน้าที่สนับสนุนด้านเทคนิค การวิเคราะห์ และการจัดการข้อมูล
ทั้งนี้บทบาทของสภาผลิตภาพ: ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง
โดยข้อเสนอของสภาผลิตภาพจะสามารถชี้นำวาระเชิงนโยบายด้านผลิตภาพผ่าน การจัดทำ “จุลสารเฉพาะกิจ” ที่รวบรวมข้อมูลเชิงลึกและแนวโน้มสำคัญ การจัดทำ “รายงานผลิตภาพประจำปีร่วม” ร่วมกับหน่วยงานสมาชิก การเสนอคำแนะนำนโยบายที่นำไปปฏิบัติได้จริง พร้อมระบุผู้รับผิดชอบ
พร้อมกันนี้ ยังเสนอให้พัฒนา “กรอบผลิตภาพแห่งชาติ” เพื่อใช้เป็นแนวทางวิเคราะห์และจัดลำดับความสำคัญของประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่การเสริมฐานข้อมูล – พัฒนาตัวชี้วัด – เพิ่มความชัดเจนนโยบาย รวมทั้งเพื่อเสริมประสิทธิภาพการกำหนดนโยบาย รัฐควร: ปรับปรุงการวัดผลิตภาพทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค เช่น การใช้ดัชนี QALI ในการประเมินคุณภาพแรงงาน เป็นต้น







