‘เผ่าภูมิ’ เผยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจชะลอ หวังนโยบายการเงินเหยียบคันเร่ง

“เผ่าภูมิ” เผยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจชะลอตัว หวังนโยบายการเงินเเหยียบคันเร่ง สอดประสานนโยบายการคลัง เตรียมอัดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิต 1.57 แสนล้าน จับตาเจรจาภาษีทรัมป์ใกล้ชิด รอผลสรุปเตรียมมาตรการเยียวยา
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจโลก มีความท้าทาย รวมถึง เศรฐกิจไทย ประเมินว่า สถานการณ์จะชะลอตัวลงกว่าครึ่งปีแรก ฉะนั้นจะต้องมี มาตรการกระตุ้นเศรฐกิจ เข้าไปโอบอุ้ม สำหรับมาตรการกรารคลังนั้น จะมีเม็ดเงินจากงบประมาณ 157,000 ล้านบาท ลงในระบบเศรฐกิจช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ และช่วงไตรมาสแรกของปี 69
ทั้งนี้มองว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ต้องดำเนินการควบคู่กันไป ซึ่งในส่วนของมาตรการการคลัง ได้อัดเม็ดเงินไปแล้ว ส่วนมาตรการเงินนั้น ต้องพิจารณการดำเนินการให้เหมาะสม
"โดยขอย้ำว่า ทั้ง 2 นโยบายการเงินและการคลัง ต้องเหยียบคันเร่ง ส่วนนโยบายการเงินจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)"
ทั้งนี้ การเดินหน้า นโยบายการเงิน ไม่ได้มีเพียงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น ยังมีมาตรการอื่นๆ ที่สำคัญคือการกระจายเม็ดเงินสินเชื่อลงในระบบ สร้างแรงจูงใจในการปล่อยสินเชื่อ โดยการผ่อนปรนเกณฑ์มาตรการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (Respondsible Lending) ให้มีความเหมาะสม
ทั้งนี้ หากมีการประเมินเศรษฐกิจก่อนที่ไทยจะได้รับจดหมายจากทรัมป์ ก็มีแนวโน้มว่าจะมีการปรับตัวเลขประมาณการขึ้น เนื่องจากในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เริ่มเห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อาทิ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนติดต่อกัน โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
อย่างไรก็ดี นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้สหรัฐ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันหลักที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วย ซึ่งขณะนี้ยังไทยยังอยู่ในระหว่างกระบวนการเจรจา
ภาษีสหรัฐถือว่ายังไม่สิ้นสุด อยู่ระหว่างกระบวนการเจรจา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง และดูว่าสุดท้ายแล้วอัตราภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บไทยจะออกมาเท่าใด โดย 3 หน่วยงานประมาณการเศรษฐกิจติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีเม็ดเงินกว่า 4 หมื่นล้านบาท ที่ยังไม่ได้จัดสรรจากงบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้ามาดูแลผลกระทบของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถระบุได้ว่าแนวทางในการดูแลจะเป็นเช่นไรบ้าง เนื่องจากต้องติดตามภาษีสหรัฐที่จะออกมาว่าสุดท้ายเป็นเท่าใด แล้วเราจะเข้าไปดูแลต่อไป







