‘บ้านปู’ ลุยพลังงานสหรัฐ ปรับพอร์ตธุรกิจสู้โลกผันผวน

“บ้านปู” เร่งลงทุนสหรัฐชูธุรกิจ “ก๊าซฯ-CCUS” ดาวเด่นดันพอร์ตแกร่งรับมือโลกผันผวนตอบโจทย์ Data Center ศึกษา “ไฮโดรเจน-นิวเคลียร์” ที่จีนรับเทรนด์อนาคต มองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังคงท้าทาย ต้องทำตัวให้อึดเข้าไว้ รีดไขมัน รักษาสภาพคล่องทางการเงิน
KEY
POINTS
- มองเห็นโอกาสมหาศาลจากธุรกิจ ก๊าซธรรมชาติ, โรงไฟฟ้า, และเทคโนโลยี CCUS ในสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนและให้ผลตอบแทนดี
- เป้าหมายการดักจับคาร์บอน ปัจจุบันมีประมาณ 200,000 ตัน ตั้งเป้า 16 ล้านตันเทียบเท่าต่อปีภายในปี 2030 ซึ่งจะช่วยผลักดันให้บ้านปูบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050
- โอกาสธุรกิจก๊าซสีเขียว ทำให้ขายก๊าซฯ สะอาดให้กับอุตสาหกรรมที่ต้องการ เช่น Data Center ในสหรัฐฯ ที่ต้องการไฟฟ้ามั่นคง เสถียร และราคาถูก ทำให้โรงไฟฟ้าก๊าซฯ ของบ้านปูมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจพลังงานที่หลากหลายผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน, กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ในประเทศไทย, อินโดนีเซีย, จีน, ออสเตรเลีย, ลาว, มองโกเลีย, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “กรุงเทพธุรกิจ” โดยเน้นย้ำถึงกลยุทธ์การลงทุนของบ้านปูว่า บ้านปูจะกระจายความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสในตลาดที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มองเห็นโอกาสมหาศาลจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้า และเทคโนโลยี CCUS ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนและให้ผลตอบแทนที่ดี
“ธุรกิจในสหรัฐฯ ถือเป็นขุมทรัพย์พลังงานแห่งอนาคตที่มีศักยภาพสูงเช่นโรงไฟฟ้าปัจจุบันมีกำลังผลิต 1,500 เมกะวัตต์ และมองว่าเทคโนโลนยี CCUS ให้ผลตอบแทนอัตรากำไรสูง เพราะสหรัฐฯ มีก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก โดยนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มุ่งการผ่อนคลายข้อบังคับและสนับสนุนก๊าซฯ ที่เป็นทรัพยากรหลักถือเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโรงไฟฟ้าบ้านปู”
มอง CCUS เทคโนโลยีเปลี่ยนเกม
นายสินนท์ เล่าว่า เทคโนโลยี CCUS ถือเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของบ้านปู โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการดักจับคาร์บอน เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติ ทำให้ได้ก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon-Sequestered Gas: CSG) สามารถนำไปจำหน่ายในตลาดพรีเมียมได้ ซึ่งบ้านปูมีหลุมบ่อก๊าซฯ ราว 5,000 หลุม
"เมื่อแยกคาร์บอนเก็บในหลุมจะได้ก๊าซฯ ที่ไม่มีคาร์บอนเลย จะสร้าง Value ในราคาพรีเมียมได้จากราคาก๊าซฯ อ้างอิงในสหรัฐ 20-30% สร้างแรงจูงใจ (incentive) สำหรับ Carbon Capture ที่ผ่านกฎหมายแล้ว คิดเป็น 85 ดอลลาร์ต่อตันในระยะเวลา 12 ปี โดยตอนนี้มีคาร์บอนที่ฝังอยู่ราว 200,000 ตัน จากเป้าหมาย 16 ล้านตันเทียบเท่าต่อปีภายในปี 2030 ซึ่งจะช่วยผลักดันให้บ้านปู บรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050
ทั้งนี้ บ้านปูจะขายก๊าซฯ สีเขียว ให้กับอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ก๊าซฯ สะอาดในราคาพรีเมียม รองรับธุรกิจ Data Center ในสหรัฐฯ แหล่งละ 700-1,000 เมกะวัตต์ ที่ต้องการไฟฟ้าที่มั่นคง เสถียร และราคาถูก ดังนั้น โรงไฟฟ้าก๊าซฯ ที่บ้านปูมีอยู่จึงกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แผนรับมือความผันผวนและกลยุทธ์เติบโตยั่งยืน
นายสินนท์ กล่าวว่า บ้านปูดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Energy Symphonics ซึ่งเป็นแผนกลยุทธ์ 5 ปี จนถึงปี 2030 โดยมุ่งมั่นเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน ด้วยการรักษาสมดุลในการบรรลุ 3 เป้าหมายสำคัญ ได้แก่ พลังงานที่มีความเสถียร, พลังงานที่เข้าถึงได้ในราคาเหมาะสม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“พอร์ตของเราค่อนข้างจะไม่มีปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ด้วยราคาคอมมูนิตี้มีความผันผวนทุกปีอยู่แล้ว ปีนี้ถือว่าก๊าซฯ ราคาดีมาก เพราะศักยภาพของการส่งออกของสหรัฐฯ ดีเฉลี่ที่ย 3.5-4.0 ดอลลาร์ จากต้นทุนเรา 2 ดอลลาร์” นายสินนท์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บ้านปูได้เน้นการกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหลายประเทศ และติดตามสัญญาณจากนโยบายระดับโลกอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ เพื่อลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และใช้โอกาสจากความผันผวนเพื่อขยายช่องทางรายได้ใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานสะอาด รวมถึงการศึกษาและเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อวิเคราะห์ธุรกิจ
ศึกษา “ไฮโดรเจน-นิวเคลียร์” สู่การลงทุนอนาคต
นายสินนท์ เล่าต่อว่า ในอนาคตเทคโนโลยีกรีนไฮโดรเจน และนิวเคลียร์ จะเป็นสตอรี่ใหม่ที่น่าจับตา โดยเฉพาะในจีนที่กำลังพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการผสมผสานกรีนแอมโมเนียหรือกรีนไฮโดรเจน ซึ่งบ้านปูได้ศึกษาอย่างเข้มข้นเช่นกัน แม้ผลตอบแทนจะยังมาไม่ถึง แต่เชื่อว่าช่วง 3-5 ปี นี้ถ้าจะเข้ามาได้ เนื่องจาก “ความเจ๋ง” ของกรีนไฮโดรเจนหรือกรีนแอมโมเนีย สามารถนำมาผสมผสานในโรงไฟฟ้าถ่านหินได้
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการวัดค่าแรงดันใต้หลุมก๊าซฯ การวัดคาร์บอนด้วยบล็อกเชน เพื่อสร้าง Productivity เพิ่มขึ้น และยังเน้นการบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างเข้มงวด โดยตั้งเป้าเพิ่มกระแสเงินสดให้ได้ 1.5 เท่าของปี 2023 ภายใน 5 ปี และลดการปล่อยคาร์บอนได้ 20% โดยปีที่ผ่านมาสามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดที่ 1,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ระดับเดียวกับปีก่อน
รุกโซลาร์รูฟ “เวียดนาม-ไทย” เพิ่มพอร์ตพลังงานสะอาด
ส่วนธุรกิจในเวียดนาม สามารถปิดดีลเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว ด้วยสถานการณ์ของเวียดนามไม่ได้แย่ขนาดที่หลายฝ่ายกังวล ซึ่งบ้านปูมีธุรกิจโซลาร์รูฟท็อป, วิน และฟาร์ม ในด้านโซลูชันมากขึ้น และยังมีการเติบโตในเรื่องของอีคอมเมิร์ซสูง จากราคาค่าเช่าของโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น อีกทั้ง เวียดนามยังมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการเป็นประเทศไฮเทค และต้องการดึงซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องเข้าไป ซึ่งบ้านปูคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้ รวมถึงจากประเด็นการค้ากับจีน เป็นต้น
“อะไรที่เกี่ยวข้องกับรีเทลยังเป็นโอกาส ล่าสุดเราได้เซ็นสัญญากับกลุ่มอมตะ เพื่อทำโซลาร์รูฟราว 300 เมกะวัตต์ ใน 5 ปีอีก ทั้งยังมีพาร์ทเนอร์ด้วย โดยรวมในเวียดนามมีกำลังผลิตราว 400-500 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นสำหรับโซลาร์ฟาร์มและวินด์ 80 เมกะวัตต์ ขณะที่โซลาร์รูฟตอนนี้ใกล้จะเกิน 50 เมกะวัตต์แล้ว"
โอกาสดัน“พลังงานสะอาด-ดาต้า เซ็นเตอร์” ไทย
สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย มองว่าในเรื่องของพลังงานสะอาดยังมีโอกาสเติบโต แม้ว่าร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับจะยังไม่ออกแต่ก็คาดหวังว่าภาครัฐจะสามารถทำออกมาให้ชัดเจนขึ้นได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งอาจจะได้เห็นความคืบหน้าในปีนี้ ทั้งนี้ บ้านปูได้ให้ความสนใจในธุรกิจ Data Center จากการบริหารจัดการพลังงานที่เหลือจะสามารถนำมาสนับสนุน Data Center ได้
“ตอนนี้อยู่ระหว่างหารือโดยจะใช้วิธีร่วมทุนซึ่งได้เร่งทำแผนร่วมกับพาร์ทเนอร์ต่างประเทศ โดยปัจจุบันบ้านปูมีสัดส่วนพลังงานในไทย 2 ส่วนหลัก คือ การถือหุ้นในโรงไฟฟ้า BLCP ส่วนที่เหลือเป็นโซลาร์รูฟ, แบตเตอรี่ และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นต้น ถือเป็นการกระจายซัพพลายเชนพลังงานสะอาด โดยคาดว่าโซลาร์รูฟจะมียอดรวมเกือบ 100 เมกะวัตต์ภายในปลายปีนี้”
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องออกนโยบายมาเพื่อดึงการลงทุนให้ได้ โดยตลาดเดียวที่เราได้ตอนนี้คือสหรัฐฯ เพียงแค่ถึง 5-10% ของเงินที่ไปลงทุนเมื่อหมุนมาลงที่เอเชียจะเป็นเม็ดเงินมหาศาลแล้ว ดังนั้น แม้แผน PDP จะยังไม่ออก แต่บ้านปูได้เตรียมพร้อมทุกด้าน เพราะสุดท้ายพลังงานจะต้องมีความหลากหลายผสมผสานกันเพื่อให้เป็นพลังงานแห่งอนาคต ส่วนการลงทุนนิวเคลียร์ในไทยก็กำลังติดตามอย่างใกล้ชิด ในเชิงจะลงทุนอาจจะต้องใช้เวลานานเพราะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ
นายสินนท์ ให้แง่คิดในการปรับตัวของผู้ประกอบการในประเทศไทยโดยเฉพาะ SME ว่า ส่วนตัวอาจจะแนะนำไม่ได้มาก แต่ก็อยากให้ทุกคนสู้ต่อไปเพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ยังโตได้อาจจะต้องพยายาม Develop คนและกระจายความเสี่ยงให้อยู่ต่อไปได้จนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ยืนยันว่าบ้านปูเป็นหุ้นที่มี dividends ที่ดี
“แม้เศรษฐกิจโลกจะยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แต่ด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและทีมงานที่ทำงานอย่างหนัก บ้านปูจะต้องเป้นผู้ที่อึดและแข็งแรง และยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และจะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดในภูมิภาค”นายสินนท์ กล่าวสรุป







