เกลี่ยงบฯ 69 เพิ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจ รับมือวิกฤติ ‘ภาษีทรัมป์’

เกลี่ยงบฯ 69 เพิ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจ  รับมือวิกฤติ ‘ภาษีทรัมป์’

รัฐบาลยันไร้สัญญาณทำงบประมาณปี 69 ใหม่ แต่จะใช้วิธีเกลี่ยงบมารองรับวิกฤติจากภาษีทรัมป์ คาดได้สูงสุดประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ตั้งเป็นงบกลาง

KEY

POINTS

  • รัฐบาลยันไร้สัญญาณทำงบประมาณปี 69 ใหม่ ใช้วิธีเกลี่ยงบมารองรับวิกฤติจากภาษีทรัมป์ คาดได้สูงสุดประมาณ 4 หมื่นล้านบาท
  • งบที่เกลี่ยมาตั้งเป็นงบกลาง รายการกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • ชี้กรณีเดียวที่รื้องบทั้งฉบับได้คือ ยุบสภามีรัฐบาลใหม่ ซึ่งการทำงบใหม่จะใช้เวลามาก
  • และการทำงบใหม่ต้องเริ่มจากปรับแผนการคลังระยะปานกลาง และงบใหม่ปี 69 จะได้น้อยกว่าเดิมเพราะสมมติฐานเศรษฐกิจเปลี่ยน
  • กมธ.งบเรียก "พิชัย" แจงสถานการณ์เตรียมตัดรายการงบไม่สำคัญทำงบรองรับภาวะฉุกเฉิน 

การเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ที่สหรัฐเรียกเก็บจากไทย 36% ทำให้มีคำถามถึงการเตรียมความพร้อมในเรื่องของเม็ดเงินงบประมาณที่รัฐบาลได้เตรียมไว้รองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากงบประมาณรายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลยังมีเหลืออยู่อีกประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนที่รัฐบาลอนุมัติไปเพื่อลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัลวงเงินรวม 11,122 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลมีงบประมาณที่ใช้ในการลดผลกระทบจากการเก็บภาษีเพิ่มของสหรัฐรวมทั้งสิ้น 58,122 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าในการเตรียมความพร้อมของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 นั้นขณะนี้ขั้นตอนการจัดทำงบประมาณนั้นได้ผ่านจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เป็นฝ่ายบริหารไปแล้ว และไปอยู่ในการพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติ การจัดทำงบประมาณใหม่ทั้งฉบับจึงเป็นเรื่องที่ยาก และใช้เวลามาก ยกเว้นมีการยุบสภาฯ ซึ่งรัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาจัดทำร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2569 ใหม่ทั้งฉบับ

ชี้ขั้นตอนทำงบฯใหม่ใช้เวลานาน

ทั้งนี้ขั้นตอนการจัดทำงบประมาณ 2569 ใหม่จะต้องเริ่มจากการทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง ซึ่งต้องมีการจัดทำสมมติฐานทางเศรษฐกิจ และประมาณการจัดเก็บรายได้ใหม่ ซึ่งงบประมาณที่จะมีการกำหนดกรอบงบประมาณใหม่นั้นคาดว่าจะน้อยกว่ากรอบงบประมาณเดิมที่มีวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เนื่องจากตัวเลขการประมาณการเศรษฐกิจนั้นลดลง และตัวเลขการประมาณการจัดเก็บรายได้นั้นจะลดลงด้วยการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานต่างๆ ก็จะลดน้อยลงไป

สำหรับงบประมาณในปีงบประมาณ 2569 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการแปรญัตติของกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรโดยโครงสร้างของงบประมาณนั้นได้มีการตั้งงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท โดยในชั้นกรรมาธิการได้ตกลงให้มีการปรับ และปรับลดงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกมาแล้วนำไปรวมไว้ในส่วนของงบประมาณที่เป็นงบกลาง รายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเกลี่ยงบประมาณมารวมเป็นงบกลาง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งงบประมาณส่วนนี้รัฐบาลสามารถนำมาจัดสรรเป็นโครงการในการรองรับวิกฤติ และช่วยเหลือผู้ประกอบการ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐได้

“จุลพันธ์” ยัน กมธ.งบปรับรายละเอียดงบได้

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในเรื่องการทำงบประมาณปี 2569 เพื่อรองรับวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้นจากภาษีทรัมป์นั้นปกติในกลไกของงบประมาณนั้น ทั้งการจัดสรร การใช้งบประมาณนั้นมีความยืดหยุ่นในการรองรับด้วยตัวเอง ดังนั้นในการปรับเปลี่ยนนั้นคงไม่ได้เป็นการรื้องบประมาณทั้งฉบับแต่จะมีการปรับเปลี่ยนตัดลดบางส่วนเพื่อมาทำงบประมาณในการเตรียมความพร้อมที่จะรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยขณะนี้การทำงบประมาณปี 2569 นั้นอยู่ในชั้นกรรมาธิการแล้ว มีการพิจารณาทั้งคณะใหญ่ และคณะย่อย ซึ่งคณะใหญ่นั้นมีการทำงานไปครึ่งทางแล้ว โดยการปรับเปลี่ยนที่เป็นนัยสำคัญนั้นทำได้โดยเป็นอำนาจของที่ประชุม และสมาชิกกรรมาธิการ

การใช้งบประมาณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ และมีความยืดหยุ่นในตัวเอง บางคนอาจจะถามว่ากรณีที่มีการจัดเก็บรายได้ไม่ได้ตามเป้าจะทำอย่างไร หรือในกรณีที่มีสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจะทำอย่างไร ในกรณีที่เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ สุดท้ายก็เป็นอำนาจของฝ่ายบริหารที่สามารถปรับเปลี่ยน หรือผันงบประมาณในการใช้งบประมาณให้เข้าเป้ามากขึ้นในกรณีที่มีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดซึ่งเรื่องของภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในปัจจัยเรื่องนี้

“วันนี้ให้ไปแก้ไข พ.ร.บ.งบประมาณ ผมถามว่าจะแก้ไขอย่างไร ท่านรู้ข้อสรุปของกระบวนการเจรจาภาษีกับสหรัฐสำหรับประเทศไทยนั้นจะจบเท่าไร เรายังไม่รู้เลยว่าจะจบที่เท่าไร แล้วเราจะแก้อย่างไร ตรงนี้เป็นโจทย์ให้ดำเนินการ ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากนี้เราก็ไม่ควรที่จะคิดไกลเกินไป เพราะหากเรื่องของภาษีทรัมป์ไปได้ข้อสรุปอีกทีคือ วันที่ 30 ก.ย.68 เราไม่ต้องเริ่มทำ พ.ร.บ.งบในช่วงนั้นหรือ ตอนนี้ต้องดูไปตามสถานการณ์ และการแก้ไขเยียวยาที่จะทำได้ในแต่ละช่วงเวลาว่าควรทำมาตรการในลักษณะใดบ้าง” นายจุลพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ในการประชุม ครม.วานนี้ (7 ก.ค.68)ที่ประชุม ครม.ได้หารือถึงกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายถึงรัฐบาลไทยยืนยันการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 36% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป

ทั้งนี้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะของหัวหน้าทีมเจรจาของไทย ได้ชี้แจงต่อ ครม. ถึงกลไกต่างๆ ที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งผลการเดินทางไปหารือกับทางสหรัฐ ซึ่งเห็นว่า สหรัฐ ตอบรับกับข้อเสนอที่ไทยได้เสนอไป แต่การเจรจาลักษณะนี้ไม่ได้จบเพียงครั้งเดียว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าวิเคราะห์ง่ายๆ ก็ถือเป็นการเลื่อนเวลาออกไปจนถึงเดือนสิงหาคม เพื่อให้ทุกอย่างจบสิ้น

ลุ้นอัตราภาษีใหม่ต่ำกว่า 36%

โดยรัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่า ตอนนี้ได้เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการ การเจรจาแล้ว หลังจากนี้ก็ได้มีการยื่นข้อเสนอใหม่ไปให้กับทางสหรัฐ ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็คงต้องรอดูผลอีกครั้ง

ขณะที่มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยอมรับว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้กันวงเงินไว้สำหรับดูแลผู้ประกอบการส่วนแรกคือ งบกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะแรก 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงสร้างภาษีใหม่

อีกส่วนยังมีเงินจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออีก 4 หมื่นล้านบาท ไว้รองรับในกรณีที่หากเกิดปัญหาให้ตรงจุด ทั้งภาคเอกชน และประชาชน ส่วนการจะใช้หรือไม่ใช้อย่างไร ก็ต้องรอดูผลของการพิจารณาภาษีเสร็จสิ้นก่อนว่าสุดท้ายแล้วไทยจะถูกเก็บภาษีเท่าใด

“สุดท้ายคงต้องหาโจทย์เหมือนที่รองนายกฯ แจ้งว่า การเจรจาภาษีต้องเป็นวิน-วิน ว่าเราจะต้องได้ในบางสิ่ง ถอยในบางสิ่ง คงไม่ได้เปิดให้เขาทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะจะกระทบกับผู้ประกอบการ เกษตรกรไทย ซึ่งจะต้องมีวิธีการ และกลไกในการเจรจาต่อไป และให้ความเชื่อมั่นกับทีมไทยแลนด์ที่เจรจา”

กมธ.งบหารือ “พิชัย” ปรับลดงบ

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 แถลงกรณีมีข้อเรียกรร้องให้ กมธ. พิจารณาปรับสัดส่วนงบประมาณในการรับมือกับภาษีทรัมป์ 36% ว่า มติที่ประชุมได้ส่งเอกสารแจ้งไปยังนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง ฐานะผู้แทนไปเจรจากับสหรัฐ ฐานะประธาน กมธ.งบ 69 เข้ามาอัปเดตความคืบหน้ากับ กมธ. ก่อนตั้งเป้าหมายพูดคุยกันอีกครั้งว่าการพิจารณางบควรดำเนินการอย่างไรต่อไป จะปรับลดส่วนไหนเป็นพิเศษหรือไม่

ทั้งนี้ตนเข้าใจว่านอกเหนือจากนายพิชัย ยังมีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ฐานะรองประธาน กมธ. งบด้วย ดังนั้นอาจมอบหมายให้นายจุลพันธ์ชี้แจงกับ กมธ.แทนได้

เมื่อถามว่าแนวทางความเห็นของ กมธ. คุยกันว่าอย่างไรบ้าง นายชนินทร์ กล่าวว่า เป็นความกังวลของ กมธ.บางส่วนว่าเราจำเป็นต้องเตรียมงบประมาณสำหรับช่วยเหลือภาคเอกชนต่างๆ หรือไม่ หากมีความจำเป็น จะต้องมีการปรับลดงบประมาณบางส่วน เพื่อเตรียมพร้อม ทั้งนี้ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะในส่วนของรัฐบาลเองก็มีงบประมาณที่เตรียมไว้สำหรับมาตรการต่างๆ ไว้อยู่ด้วย

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์